วันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เมื่อจักวรรดิสยาม จักกรีฑาทัพเรือ บุกเข้าตีจักรวรรดิญี่ปุ่น


กาลครั้งหนึ่ง สมัยพระเจ้าองค์ดำ
เมื่อจักวรรดิสยาม จักกรีฑาทัพเรือ บุกเข้าตีจักรวรรดิญี่ปุ่น

ในปี ค.ศ ๑๕๙๒ ญี่ปุ่นภายใต้การนำของ โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ ส่งทหารจำนวนกว่า ๑๕๐,๐๐๐ คน ไปบุกเกาหลีเพื่อหวังจะยึดเกาหลีเป็นเมืองขึ้น กองทัพของโทโยโทมิสามารถตีเข้าไปถึงเมือง เปียงยาง กษัตริย์เกาหลีต้องลี้ภัยไปทางเหนือและส่งคนไปขอความช่วยเหลือจากจีน เกาหลีในตอนนั้นเป็นรัฐบรรณาการของจีนและยังเป็นรัฐกันชนระหว่างจีนกับ ญี่ปุ่น จีนจึงต้องส่งทหารไปเพื่อยึดเกาหลีกลับคืนมา จากการต่อสู้อย่างแข็งขันของกองทัพเกาหลีเองและแนวร่วมที่จีนส่งมาช่วยทำให้ ญี่ปุ่นไม่สามารถยึดเกาหลีได้ในครั้งนั้น อย่างไรก็ตามโทโยโทมิไม่ได้ล้มเลิกความตั้งใจ เขาส่งกองทัพแสนกว่าคนไปเกาหลีอีกในปี ค.ศ. ๑๕๙๗ [พ.ศ. ๒๑๔๐] แต่ก็ไม่สามารถยึดเกาหลีได้เนื่องจากเขาตายลงอย่างกะทันหันในปีถัดไป ญี่ปุ่นจึงต้องถอนทหารออกจากคาบสมุทรเกาหลี การบุกเกาหลีในครั้งนั้นเป็นความทะเยอทะยานของโทโยโทมิที่จะเป็นใหญ่ใน เอเชียหลังจากที่เขาขึ้นมาเป็นผู้นำและรวมญี่ปุ่นให้เป็นหนึ่งเดียวได้หลัง จากที่ญี่ปุ่นมีสงครามน้อยใหญ่มาร้อยกว่าปีในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๕-๑๖ ว่ากันว่าเขามีแผนที่จะขยายอำนาจไปถึงฟิลิปปินส์และอินเดียหากเขาไม่ตายเสีย ก่อน

ถึงแม้ว่าโทโยโทมิจะไม่ได้ยึดครองเกาหลีตามที่ตั้งใจไว้ เหตุการณ์นี้มีนัยยะสำคัญอยู่ไม่น้อย ประการแรกหมายถึงความพยายามของญี่ปุ่นที่จะขยายอำนาจไปยังต่างประเทศเป็น ครั้งแรก อาจเรียกได้ว่าเป็นจักรวรรดินิยมในยุคแรกๆ ประการที่ ๒ เป็นการที่ประเทศเล็กๆ ที่เคยรับเอาอารยธรรมของจีนคิดที่จะท้าทายอำนาจของจีนเอง อีกนัยยะหนึ่งคือการที่เหตุการณ์นี้มีประเทศอื่นอย่างสยามและริวกิวเข้ามา เกี่ยวข้องด้วย เนื่องจากสยามเสนอจะส่งทหารไปช่วยตีญี่ปุ่น ในราชสำนักหมิงเองก็มีการถกเถียงกันว่าจะ “ยืม” กองกำลังทหารจากสยามและริวกิวไปช่วยตีญี่ปุ่นดีหรือไม่ เหตุการณ์ในครั้งนั้นยังทำให้เราเห็นนโยบายของหมิงต่อประเทศบรรณาการอย่าง สยามด้วย ซึ่งเป็นที่มาของบทความของ คิมุระ คานาโกะ (นักศึกษาปริญญาเอกสาขาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกียวโต)

บทความของคิมุระเริ่มต้นด้วยการเท้าความความสัมพันธ์ของสยามกับจีนสมัยราช วงศ์หมิง ว่าสยามเป็นรัฐแรกๆที่ส่งบรรณาการไปให้หมิง คือปี ค.ศ. ๑๓๗๑ [พ.ศ. ๑๙๑๔] แต่หากเทียบกับเกาหลี ริวกิว และเวียดนามแล้ว สยามก็ยังถือเป็นรัฐบรรณาการห่างๆ ไม่ได้รับเอาอิทธิพลจากจีนมาอย่าง ๓ รัฐแรก การที่สยามส่งคณะทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับจีนก็รู้ๆ กันอยู่ว่าทำไปเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า แต่ในปี ค.ศ. ๑๕๙๒ หรือปีที่ ๒๐ ในรัชศกวั่นลี่ของจีน มีบันทึกในเอกสารจีนว่า “หลังจากที่ญี่ปุ่นเข้าไปตีเกาหลีได้ สยามแอบเสนอจีนอย่างลับๆ ว่าจะส่งกองทัพไปบุกญี่ปุ่นเพื่อเป็นกำลังเสริมให้จีน ฉือฉิง เสนาบดีกระทรวงกลาโหมคิดที่จะรับข้อเสนอนี้ไว้ แต่ข้าหลวงใหญ่มณฑลกวางตุ้งกวางสีชื่อเชียวเยี่ยนไม่เห็นด้วย เรื่องเลยตกไป”

จากบันทึกข้างต้น คิมุระตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดสยามซึ่งที่ผ่านมาติดต่อกับจีนเพราะเหตุผลทาง การค้า อยู่ๆ จึงเสนอที่จะช่วยจีนรบกับญี่ปุ่น ยิ่งในช่วงนั้น สยามซึ่งตรงกับสมัยของสมเด็จพระนเรศวรฯ ยังติดพันสงครามกับพม่าอยู่ จะส่งทหารไปช่วยรบได้อย่างไร

คิมุระใช้เอกสารร่วมสมัยของจีนและเกาหลีหลายฉบับเพื่อวิเคราะห์เรื่องนี้ ในเดือน ๙ ปี ค.ศ. ๑๕๙๒ ทูตชาวเกาหลีคนหนึ่งชื่อเจิ้งคุนโช่ว (ในที่นี้จะถอดเสียงเป็นภาษาจีน) ถูกส่งไปปักกิ่งเพื่อเข้าเฝ้าจักรพรรดิหมิงและขอให้จีนส่งกำลังไปช่วยเกาหลี ขับไล่กองทัพญี่ปุ่น เมื่อไปถึงปักกิ่งเขาได้พบกับทูตจากสยามที่มาถวายบรรณาการพอดี เอกสารเกาหลีซึ่งเขียนในปี ค.ศ. ๑๖๔๙ [พ.ศ. ๒๑๙๒] บันทึกว่าขณะที่ทูตเกาหลีกำลังถกเรื่องขอให้ส่งทหารไปช่วยเกาหลีกับขุนนาง จีน ทูตสยามรู้เรื่องเข้าพอดี และได้ออกปากว่าจะช่วยกำจัดญี่ปุ่น กระทรวงกลาโหมของจีนจึงจะทูลข้อเสนอนี้ต่อจักรพรรดิ ซึ่งในเอกสารไม่ได้บอกไว้ แต่คิมุระสันนิษฐานว่าน่าจะราวๆ เดือน ๙-๑๐ ของปี ค.ศ. ๑๕๙๒ และจักรพรรดิรับสั่งให้สืบเรื่องนี้ให้ดีก่อนที่จะรับข้อเสนอของสยาม

ตกลงใครกันแน่ที่เป็นคนเสนอจะส่งทหารไปบุกญี่ปุ่น เป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไปว่าสมเด็จพระนเรศวรฯ เป็นคนเสนอเพื่อแสดงแสนยานุภาพทางทหารของสยาม อย่างไรก็ตามคิมุระชี้ว่าไม่ว่าจะเป็นเอกสารจีนหรือเอกสารเกาหลีที่พูดถึง เรื่องนี้ไม่มีชิ้นใดบอกว่า “กษัตริย์สยาม” เป็นคนยื่นข้อเสนอนี้ (ในเอกสารจีนชื่อ หมิงสื่อ ใช้คำรวมๆ ว่า สยาม) คิมุระชี้ว่าจากเอกสารของเกาหลีที่ยกมาข้างต้น คนเสนอคือทูตจากสยามที่ไปถวายบรรณาการ และดูเหมือนว่าจะเป็นการเสนอโดยพลการของทูตคนนั้นมากกว่าจะเป็นความคิดของ สมเด็จพระนเรศวรฯ

ปัญหาอีกประการคือ เพราะเหตุใดทูตสยามจึงเสนอเช่นนั้น เอกสารเกาหลีอีกชิ้นหนึ่งให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า ในวันที่ ๒๘ เดือน ๙ ปี ค.ศ. ๑๕๙๒ ฉือฉิง เสนาบดีกระทรวงกลาโหมของจีนได้เชิญเจิ้งคุนโช่ว (ทูตเกาหลี) และ “ล่ามที่ติดตามมากับทูตสยาม” แซ่หลี่ไปกินเลี้ยงที่บ้านของเขา (ที่ปักกิ่ง) หลังจากที่พูดคุยกับเสนาบดีฉือฉิงเสร็จและโค้งคำนับร่ำลากันแล้ว ล่ามที่ติดตามมากับทูตสยามได้แอบกระซิบกับล่าม (ซึ่งน่าจะเป็นคนเกาหลี) ว่า

“การที่ท่านเสนาบดีเชิญพวกเรามาอีกครั้ง ก็เพราะต้องการให้สยามส่งทหารไปช่วยจีนตีญี่ปุ่นเป็นแน่ [เน้นโดยผู้เขียน] (แต่) สยามเองมีลูกศรก็จริงแต่ยิงคนก็ยังไม่เข้า ดาบฟันก็ไม่ขาด ลูกปืนก็ไม่มีประสิทธิภาพ แล้วจะไปช่วยได้อย่างไร จะเอาอาวุธเหล่านี้ไปบุกญี่ปุ่นได้อย่างไร ถ้าจะไปประเทศของฉัน [สยาม - ผู้เขียน] ต้องออกจากกวางตุ้ง ผ่านริวกิว ประเทศฉันอยู่ทางขวา ญี่ปุ่นอยู่ทางซ้าย ระหว่างทางมีโขดหินและคลื่นลมแรง ไปทางเรือไม่ได้ จะต้องไปกวางตุ้งก่อนถึงจะไปถึงญี่ปุ่นได้ พวกโจรที่มาบุกประเทศของท่าน [หมายถึงเกาหลี - ผู้เขียน] ในตอนนี้เป็นคนจากฮกเกี้ยนทั้งนั้น โจรพวกนี้รู้เส้นทางขึ้นบกได้อย่างไร...”

คิมุระสันนิษฐานว่าล่ามที่ติดตามทูตสยามไปปักกิ่งนี้น่าจะเป็นคนมาจากสยาม นั่นคือคนจีนที่อยู่ในสยามนั่นเอง จากการที่เขา “แอบกระซิบ” กับล่ามคนเกาหลีนั้น ทำให้เราได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าคนที่อยู่เบื้องหลังข้อเสนอของทูตสยาม จริงๆ แล้วคือเสนาบดีฉือฉิง ซึ่งเป็นคนแนะนำให้ทูตสยามเสนอจีนว่าจะส่งทหารไปช่วยตีญี่ปุ่น

คิมุระให้เหตุผลอีกประการหนึ่งที่บอกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ที่สมเด็จพระ นเรศวรฯ เป็นคนเสนอ โดยวิเคราะห์ช่วงเวลาที่ทูตสยามไปถึงปักกิ่งว่า น่าจะไปถึงในเดือน ๙ ของปี ค.ศ. ๑๕๙๒ หลังจากที่ญี่ปุ่นบุกเกาหลีไม่นาน (ญี่ปุ่นบุกเกาหลีเดือน ๔ ของปีนั้น) และคงมีการทูลข้อเสนอจะส่งทหารต่อจักรพรรดิหมิงในช่วงเดือนนั้นถึงเดือน ตุลาคม (ในเอกสารจีนไม่ได้บอกไว้) อย่างไรก็ตามโดยปกติแล้วกว่าที่คณะทูตจากสยามจะออกเดินเรือไปถึงกวางตุ้งและ เดินทางไปถึงปักกิ่งมักใช้เวลานานถึง ๑ ปีครึ่ง หากคำนวณดูการเดินทางของคณะทูตซึ่งไปถึงปักกิ่งในเดือน ๙ ของปี ค.ศ. ๑๕๙๒ แล้วก็หมายความว่าทูตจากสยามต้องออกจากอยุธยาตั้งแต่กลางปี ค.ศ. ๑๕๙๑ [พ.ศ. ๒๑๓๔] ซึ่งในตอนนั้นญี่ปุ่นยังไม่ได้บุกเกาหลี คิมุระแย้งว่าเมื่อทูตสยามออกจากอยุธยาก่อนที่เหตุการณ์การบุกเกาหลีจะเกิด ขึ้น จะเป็นไปได้อย่างไรที่สมเด็จพระนเรศวรฯ จะเสนอส่งทหารไปช่วยตีญี่ปุ่น

ด้วยเหตุนี้คิมุระจึงเสนอว่าข้อเสนอของสยามที่จะส่งทหารไปน่าจะเป็นกุศโลบาย ของเสนาบดีฉือฉิง ที่แนะนำทูตจากสยามให้เสนอเช่นนั้น แม้เขาจะโดนขุนนางด้วยกันคัดค้านแต่ก็ยังดื้อดึงที่จะทูลเสนอต่อจักรพรรดิ การที่เขาเสนอเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะในตอนนั้นจีนกำลังเผชิญกับศึกรอบด้านไม่ใช่จากญี่ปุ่นอย่างเดียว ฉือฉิงซึ่งเป็นเสนาบดีกระทรวงกลาโหมซึ่งรับผิดชอบการศึกสงครามจึงต้องการ กำลังเสริมมาช่วย

ข้อเสนอของฉือฉิงถูกทัดทานโดยข้าหลวงใหญ่มณฑลกวางตุ้งกวางสีชื่อเชียวเยี่ยน เชียวเยี่ยนให้ความเห็นว่าไม่ควรที่จะให้สยามเข้ามายุ่งกับปัญหานี้โดยให้ เหตุผลหลายประการ คือ

๑. สยามเป็นรัฐบรรณาการมาแต่โบราณก็จริงแต่ไม่ได้จงรักภักดีต่อจีนเท่าเกาหลี และก็ไม่ได้สนิทกับจีนเท่าใดนัก การที่จะยืมกำลังทหารจากประเทศอย่างนี้นอกจากจะแสดงว่าจีนหย่อนยานในด้านการ ทหารแล้วยังไม่มีประโยชน์อันใดกับจีน

๒. คำพูดของทูตสยามขาดความน่าเชื่อถือ เราไม่รู้ว่ากษัตริย์สยามคิดอย่างไร ข้อเสนอที่จะส่งทหารมาช่วยจีนอาจจะเป็นคำพูดของล่ามฝ่ายจีนที่ต้องการจะเอา หน้า ถ้าหากสยามไม่ได้ส่งทหารมา จะเป็นการทำให้จีนเสื่อมเสียเกียรติยศเปล่าๆ ยิ่งตอนนี้เป็นช่วงนี้จีนมีแสนยานุภาพ ลำพังกำลังทหารของจีนย่อมจะทัดทานญี่ปุ่นได้ จึงไม่จำเป็นที่จะต้องขอกำลังทหารจากสยาม

๓. สยามเจ้าเล่ห์เพทุบายไม่แพ้ญี่ปุ่น ถ้าเป็นการรบในทะเลแล้วญี่ปุ่นสู้สยามไม่ได้ แต่ถ้าเป็นการรบบนบกสยามสู้ญี่ปุ่นไม่ได้ หากกองทัพของสยามเพลี่ยงพล้ำญี่ปุ่น มาขอความช่วยเหลือจากเรา (หมายถึงจีน) แล้วเกิดปัญหาขึ้นมา สยามอาจจะกลายเป็นปฏิปักษ์กับเราก่อนที่จะชนะญี่ปุ่น

๔. ถ้าหากสยามจะไปตีญี่ปุ่นจริงๆ ก็ต้องไปทางเรือ และจะต้องผ่านกวางตุ้งและฮกเกี้ยน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกวางตุ้งเป็นเมืองท่าหลักที่สยามจะต้องมาแวะแน่นอน (สยาม) คงจะละเมิดกฎระเบียบของเราและเรียกร้องสิ่งต่างๆ มากมาย นอกจากนี้แถบชายฝั่งของจีนก็มีคนชั่วที่แอบออกเรือไปประเทศอื่นมากมาย เกรงว่าถ้าหากทหารสยามมา พวกเขาอาจจะแอบปะปนกับคนพวกนั้นแอบเข้ามาจีนก็เป็นได้

๕. ถึงแม้ว่าข้อเสนอของสยามที่จะส่งทหารมาช่วยจะเป็นข้อเสนอที่จริงใจของสยาม แต่จะคาดหวังว่ามีจำนวนมากคงไม่ได้

๖. ทูตสยามพักอยู่ปักกิ่งเป็นเวลานาน คงจะรู้และได้ยินสถานการณ์ที่เกาหลีโดนบุกได้ดี การที่จะยืมกำลังทหารจากสยามอาจเป็นการแสดงความอ่อนแอของจีนได้

๗. คำกล่าวที่ว่า “ใช้ศัตรูบุกศัตรูอีกที” อาจจะใช้ได้ดีในยามปกติที่จีนสามารถเป็นผู้บัญชาการได้ แต่ในยามคับขันเช่นนี้ จีนไม่รู้ว่าสยามมีความจริงใจต่อจีนเพียงใด จึงไม่สามารถ “ใช้ศัตรูบุกศัตรูอีกที” ได้

เหตุผลของข้าหลวงใหญ่ฯ นอกจากจะแสดงถึงเกียรติและศักดิ์ศรีของจีนแล้ว ยังสะท้อนมุมมองของชาวจีนที่มีต่อสยามในขณะนั้นได้ดีว่าไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ สยาม เนื่องจากเชียวเยี่ยนเป็นขุนนางในพื้นที่ เคยปราบกบฏแถบยูนนานและพม่ามาก่อน จึงน่าจะรู้สถานการณ์การเมืองในแถบตอนใต้ของจีนดีกว่าฉือฉิงซึ่งอยู่ปักกิ่ง เขามองว่าการจะให้กองทัพสยามจำนวนมากเข้ามาแวะเทียบท่าที่กวางตุ้งน่าจะเป็น ผลเสียมากกว่าผลดีกับจีน จึงไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของเสนาบดีกลาโหมฉือฉิง เรื่องนี้คิมุระได้วิเคราะห์เอาไว้ในบทที่ ๒ นอกจากเชียวเยี่ยน ยังมีขุนนางอีกคนหนึ่งไม่เห็นด้วยกับการรับข้อเสนอของสยาม ฝ่ายของเกาหลีเองก็ไม่เชื่อว่าสยามจะสามารถสู้กับญี่ปุ่นได้จริง จากการคัดค้านของเขา จักรพรรดิทรงรับสั่งให้ไม่รับข้อเสนอของสยามและส่งสาส์นให้กษัตริย์สยามทราบ

ในบทที่ ๓ คิมุระพูดถึงความสัมพันธ์ของสยามกับจีนในช่วงก่อนรัชศกวั่นลี่ว่าสยามยอมส่ง บรรณาการมาให้จีนก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าสยามจะเชื่อฟังและยอมรับอำนาจทางการเมืองของหมิง เห็นได้จากหลายเหตุการณ์ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๕ เช่น จากการที่สยามพยายามแผ่อำนาจไปมะละกาในปี ค.ศ. ๑๔๐๗ [พ.ศ. ๑๙๕๐] โดยยกทัพไปตีมะละกา แม้ว่าหมิงจะส่งพระราชสาส์นตำหนิการกระทำของสยามและสั่งให้ปรองดองกันแต่ก็ ไม่เป็นผล สยามส่งทหารไปอีก และอีกเหตุการณ์คือการที่สยามไม่ได้ให้การต้อนรับทูตจากหมิงที่ถูกส่งมาแต่ง ตั้งกษัตริย์สยามองค์ใหม่อย่างสมเกียรติ ทำให้ทูตคนนั้นต้องตายในสยามในปี ค.ศ. ๑๔๘๒ [พ.ศ. ๒๐๒๕]

ในขณะเดียวกันหากมองในแง่ของจีน จีนเองก็ดูจะไม่ได้เห็นความสำคัญของสยามนักในช่วงนั้น เห็นจากการที่สยามส่งพระราชสาส์นมายังจีนแต่ไม่มีใครอ่านออกเพราะเขียนเป็น ภาษาไทยและภาษาเปอร์เซีย ถึงกระนั้นหมิงกว่าจะตั้งหน่วยงานที่แปลสาส์นจากสยามก็ค่อนข้างช้ามาก คือในปี ค.ศ. ๑๕๗๘ [พ.ศ. ๒๑๒๑] เพราะฉะนั้นก่อนหน้านั้นหมิงดูจะไม่ใส่ใจเท่าใดว่าสาส์นของสยามที่ส่งมามีใจ ความว่าอย่างไร

อย่างไรก็ตามคิมุระชี้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสยามเปลี่ยนไปในทางที่ดี ขึ้นในช่วงรัชศกวั่นลี่ (ค.ศ. ๑๕๗๓-๑๖๒๐/พ.ศ. ๒๑๑๖-๖๓) หมิงเริ่มเห็นความสำคัญของสยามมากขึ้นโดยการเพิ่มของกำนัลให้กับทูตสยามที่ มาถวายบรรณาการ ตั้งหน่วยงานแปลพระราชสาส์นของสยาม ปัจจัยที่ทำให้หมิงหันมาให้ความสำคัญกับสยาม คิมุระวิเคราะห์ว่าน่าจะเป็นเพราะในช่วงนั้นหมิงเผชิญศึกหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นจากโจรสลัดที่คอยก่อความไม่สงบตามชายฝั่งในช่วงปี ค.ศ. ๑๕๗๐-๘๐ [พ.ศ. ๒๑๑๓-๒๓] และจากพม่าซึ่งขยายอิทธิพลไปยังยูนนานในช่วงปี ค.ศ. ๑๕๘๐ [พ.ศ. ๒๑๒๓] ทำให้หมิงต้องขอความช่วยเหลือจากสยามให้ไปช่วยรบกับพม่า หมิงในช่วงนั้นกำลังอ่อนแอ สยามจึงกลายเป็นรัฐที่มีความสำคัญต่อหมิง ด้วยเหตุนี้เสนาบดีกระทรวงกลาโหมจึงหาทางขอความช่วยเหลือจากสยามเมื่อเกาหลี ถูกญี่ปุ่นบุกในปี ค.ศ. ๑๕๙๒

คิมุระสรุปว่าการที่สยามส่งข้อเสนอว่าจะไปช่วยตีญี่ปุ่น ถึงแม้ว่าในทางปฏิบัติจะไม่ได้เกิดขึ้นก็ตาม แต่ก็มีส่วนทำให้ภาพพจน์ของสยามในสายตาจีนราชวงศ์หมิงดีขึ้นมาก ก่อนหน้ารัชศกวั่นลี่สยามเคยเป็นแค่รัฐบรรณาการในดินแดนตอนใต้รัฐหนึ่ง แต่พอเกิดเรื่องญี่ปุ่นบุกเกาหลีแล้ว สยามกลายเป็นรัฐที่จงรักภักดีในสายตาของหมิง สำหรับสยามเองนั้นการที่มีความสัมพันธ์อันดีกับจีนก็ดูจะมีนัยยะสำคัญเช่น กัน เนื่องจากสยามตอนนั้นรบกับพม่าอยู่ ความสัมพันธ์ของจีนกับสยามในช่วงเหตุการณ์การบุกเกาหลีของญี่ปุ่นจึงทำให้ เราเห็นความเปลี่ยนแปลงของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในช่วงนั้นได้เป็นอย่าง ดี

บทความของคิมุระนอกจากจะเสนอมุมมองใหม่ในเรื่องข้อเสนอของสยามที่จะช่วยจีน รบกับญี่ปุ่นแล้ว ยังนำเสนอเอกสารที่น่าสนใจของเกาหลีซึ่งไม่ค่อยมีคนนำมาใช้ แต่ให้รายละเอียดมากกว่าเอกสารจีน เอกสารเกาหลีทำให้เราเห็นภาพปฏิสัมพันธ์ของคณะทูตสยามที่ไปถึงเมืองจีนว่า ไม่ได้มีแต่การติดต่อกับชาวจีนอย่างเดียว แต่ยังมีการติดต่อพบปะกับทูตจากชาติอื่นด้วย การที่ทูตจากสยามเป็นคนเสนอจะช่วยไปตีญี่ปุ่น ถึงแม้จะเป็นแผนการของเสนาบดีของจีนอย่างที่คิมุระบอก แต่ก็ทำให้เราเห็นบทบาทของคณะทูตที่มีมากกว่าการไปจิ้มก้องและถวายบรรณาการ จีนอย่างเดียว ปัญหาหนึ่งของการศึกษาเรื่องความสัมพันธ์จีนกับสยามในสมัยอยุธยา คือไม่มีเอกสารไทยให้ตรวจสอบ พงศาวดารไทยไม่ได้พูดเรื่องนี้ไว้เลย เราจึงต้องใช้เอกสารภาษาจีนเป็นหลัก และหากเราอิงเอกสารร่วมสมัยของจีนและเกาหลีที่คิมุระยกมา

ประวัติศาสตร์เป็นการทำให้เราเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตและเป็นการ เสนอมุมมองใหม่ต่อความรู้ความเข้าใจเดิมที่มีมาแล้ว ร่วมวิเคราะห์บทความนี้กันครับ.

เครดิต:บทความเรื่อง
"สมเด็จพระนเรศวรฯ เคยคิดจะยกทัพไปบุกญี่ปุ่น"
ของ "คิมุระ คานาโก๊ะ"
แปลโดย "ปิยดา ชลวร"


ขอขอบคุณเพจ สงคราม ประวัติศาสตร์ ไว้โอกาสนี้ด้วยครับ :D

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น