วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

กองพันปีศาจ


[ "กองพันปีศาจ" (Ghost Army) ]

ในสมรภูมิรบที่สำคัญที่สุดในสงครามโลกครั้งที่ 2 คือการรบที่นอร์มังดี (Normandy) ประเทศฝรั่งเศส วันที่ 6 มิถุนายน 1944 กองทัพฝ่ายพันธมิตรยกพลขึ้นบกแต่ถูกเยอรมันตอบโต้อย่างดุเดือด การเคลื่อนย้ายกำลังพลเป็นไปอย่างยากลำบาก ทหารเยอรมันนับแสนๆคนกระจายกันอยู่ตามเมืองสำคัญๆ อีกทั้งยังมีหน่วยสอดแนมคอยส่งข่าวให้รู้ความเคลื่อนไหวของฝ่ายพันธมิตร

การจะเข้ายึดเมืองสำคัญๆคืนจากฝ่ายเยอรมันย่อมต้องเกิดการปะทะและการสูญเสีย ทหารจำนวนมาก วิธีการเดียวที่จะหลีกเลี่ยงการสูญเสียคือการทำให้พวกเขายอมแพ้แต่โดยดี หรืออย่างน้อยก็ต้องเบี่ยงเบนความสนใจ ล่อทหารเยอรมันออกจากเมืองให้ได้ แต่การจะทำเช่นนั้นได้ต้องใช้กำลังพลและยุทธปัจจัยจำนวนมหาศาล

เมื่อไม่มีทรัพยากรมากมายขนาดนั้น สิ่งที่สหรัฐทำคือการสร้างภาพลวงตาให้ทหารเยอรมันเชื่อว่ากองทัพฝ่าย พันธมิตรจำนวนมหาศาลกำลังบุกเข้าโจมตี หน้าที่นี้จึงตกเป็นของบรรดาศิลปินและนักสร้างสรรค์งานโฆษณาประชาสัมพันธ์

เรียกได้ว่าเป็นกองทัพไร้อาวุธของกองทัพอเมริกา โดยคัดเลือกศิลปินสาขาต่างๆ จากมหาวิทยาลัย หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งจิตรกร นักแสดง นักออกแบบ ช่างทำฉาก วิศวกรด้านภาพ และเสียง ได้กำลังพลทั้งหมดราว 1,100 นาย พวกเขาถูกบรรจุให้เป็นทหารหน่วยรบพิเศษ กองบัญชาการที่ 23 (23rd Headquarters Special Troops)

ทหารหน่วยรบพิเศษถูกแบ่งหน้าที่ออกเป็น หน่วยย่อยตามความถนัดคือแผนกสร้างภาพลวงตา แผนกเสียง แผนกบทละครและแผนกสร้างบรรยากาศ ทหารเพียงหน่วยเดียวที่เป็นทหารจริงๆคือทหารช่างทำหน้าที่คุ้มกันหน่วยรบ พิเศษ แต่ละแผนกมีความสำคัญเท่าๆกันที่จะทำให้ทหารเยอรมันตกหลุมพรางและพ่ายแพ้ใน ที่สุด

[แผนกสร้างภาพลวงตา] (Visual Deception) : หน้าที่ สร้างยานพาหนะ รถจี๊บ รถถัง รถหุ้มเกราะ เครื่องบิน โดยตอนแรกพวกเขาทดลองสร้างจากผ้าใบและไม้อัด แต่มันดูไม่ค่อยเหมือนของจริงสักเท่าไรนัก หากความแตก ทหารเยอรมันจับได้ละก็เป็นโดนถล่มเละเป็นโจ๊กทั้งกองพันแน่ๆ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนไปใช้ยางซึ่งสามารถบิดงอได้ตามรูปทรงที่ต้องการ เมื่อทาสีเติมเครื่องหมายต่างๆลงไป มองไกลๆไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามันเป็นของปลอม

[แผนกเสียง] (Sonic Deception) : หน้าที่ สร้างซาวนด์เอฟเฟ็ค เสียงเครื่องยนต์ เสียงการเคลื่อนพล โดยเสียงทั้งหมดทำการบันทึกโดยวิศวกรของเบลล์แลบ (Bell Lab) บริษัทที่ชำนาญช่ำชองทางด้านการสื่อสารด้วยเสียง แต่สมัยนั้นยังไม่มีเทปบันทึกเสียง การบันทึกจึงใช้ระบบสายแม่เหล็ก (Wire Record) ซึ่งเป็นระบบการบันทึกเสียงที่ทันสมัยที่สุดในยุคสมัยนั้น เสียงต่างๆสามารถนำมาผสมผสานกันตามที่ต้องการ

[แผนกบทละคร] (Radio Deception) : ทำหน้าที่ในการเขียนบทพูด และติดต่อสื่อสาร ส่งข่าวกับทหารหน่วยอื่นๆเพื่อหลอกล่อให้ฝ่ายเยอรมันเข้าใจผิดในขณะที่ข้อ ความที่ต้องการสื่อสารกันจริงๆส่งด้วยรหัสมอร์ส (Morse Code)

[สำหรับปฏิบัติการเสี่ยงตาย] : กองพันปิศาจได้ถูกส่งออกปฏิบัติการทั้งหมด 21 ครั้ง โดยสามารถหลอกล่อทหารเยอรมันไปจากตำแหน่งที่ล่อแหลม ทำให้กองกำลังทหารฝ่ายพันธมิตรสามารถเคลื่อนกำลังพลเข้ายึดจุดยุทธศาสตร์ที่ สำคัญๆ ได้ แต่ปฏิบัติการของกองพันปิศาจนั้น ก็เหมือนเป็นการเอาตัวเองเข้าไปล่อเป็นเป้า เหตุการณ์ที่เกือบจะเอาตัวเองไม่รอดครั้งหนึ่งคือปฏิบัติการเบ็ตเตมบอร์จ (Operation Bettembourg) เมื่อวันที่ 21 กันยายน 1944 กองพันปิศาจได้รับคำสั่งให้ไปช่วยกองทหารที่พยายามจะข้ามแม่น้ำโมเซลเล ในเมืองเมตซ์ (Metz) แต่ถูกกองกำลังฝ่ายเยอรมันจำนวนมากยันเอาไว้ กองพันปิศาจมีหน้าที่สร้างภาพว่าเคลื่อนกำลังพล 20,000 นายพร้อมรถถังจำนวนมากมายังพื้นที่

รถถังยางถูกนำมาตั้งให้เห็นบนท้อง ถนน ฝ่ายสร้างบรรยากาศเปิดเครื่องบันทึกเสียงสร้างภาพลวงตาว่ามีรถถังหลายชนิด จำนวนมากกำลังเคลื่อนพลมายังจุดปะทะ นักแสดงชุดหนึ่งติดเครื่องหมายทหารยานเกราะออกเดินทางไปตามแหล่งสถานบันเทิง คุยโวว่าเป็นทหารหน่วยยานเกราะ ปฏิบัติการสร้างภาพดำเนินติดต่อกัน 3 วัน แต่ดูเหมือนฝ่ายเยอรมันจะยังคงยึดที่มั่นยันทหารฝ่ายพันธมิตรไม่ให้ข้ามแม่ น้ำโมเซลเลไปได้ กองพันปิศาจเริ่มใจคอไม่ดี หากเยอรมันจับได้ว่าไม่มีทหารยานเกราะ 20,000 นายเคลื่อนพลมายังจุดปะทะ อย่าว่าแต่ทหารพันธมิตรที่กำลังรอความช่วยเหลือ พวกกองพันปิศาจเองก็คงเน่าด้วยเหมือนกัน

แต่แล้วเมื่อถึงวันที่ 4 ทหารเยอรมันกลัวว่าหน่วยยานเกราะกำลังใกล้เข้ามาจริงๆ พวกเขาระเบิดสะพานข้ามแม่น้ำและทิ้งเมืองหนีเอาตัวรอด ท่ามกลางความโล่งใจของกองพันปิศาจที่สามารถปฏิบัติการสำริดผล ซึ่งกำลังพลกองพันปิศาจทั้งหมดนี้ได้ให้สัตย์ปฏิญาณว่า จะไม่เปิดเผยความลับให้ผู้อื่นล่วงรู้แม้ว่าฝ่าย พันธมิตรจะได้รับชัยชนะในสงครามแล้วก็ตาม เรื่องราวทั้งหมดจึงถูกปกปิดนานถึง 50 ปี จนกระทั่งเอกสารลับหมดอายุตามกฎหมาย เรื่องราวนี้จึงถูกเปิดเผยครั้งแรกในปี 1996 ที่ผ่านมานี่เอง..

- ข้อมูลจาก : http://pantip.com/topic/30880049


ขอขอบคุณทางเพจ สงคราม ประวัติศาสตร์ ไว้โอกาสนี้ด้วยครับ :D

กรุงเทพมหานครได้ชื่อว่าเมืองที่มีชื่อยาวที่สุดในโลก


กรุงเทพมหานครได้ชื่อว่าเมืองที่มีชื่อยาวที่สุดในโลก

กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์

มีความหมาย ว่าพระนครอันกว้างใหญ่ ดุจเทพนคร เป็นที่สถิตของพระแก้วมรกต เป็นมหานครที่ไม่มีใครรบชนะได้ มีความงามอันมั่นคง และเจริญยิ่ง เป็นเมืองหลวงที่บริบูรณ์ด้วยแก้วเก้าประการ น่ารื่นรมย์ยิ่ง มีพระราชนิเวศใหญ่โตมากมาย เป็นวิมานเทพที่ประทับของพระราชาผู้อวตารลงมา ซึ่งท้าวสักกเทวราชพระราชทานให้ พระวิษณุกรรมลงมาเนรมิตไว้

โดยนามเดิมที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) โปรดเกล้าฯ พระราชทานในตอนแรกนั้น ใช้ชื่อว่า “กรุงรัตนโกสินทร์อินท์อโยธยา” ต่อมาในในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ทรงแก้นามพระนครเป็น “กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินท์ มหินทอยุธยา” จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ทรงเปลี่ยนคำว่า บวร เป็น อมร เปลี่ยนคำว่า มหินทอยุธยา โดยวิธีการสนธิศัพท์เป็น มหินทรายุธยา และเติมสร้อยนามต่อ ทั้งเปลี่ยนการสะกดคำ สินท์ เป็น สินทร์ จนเป็นที่มาของชื่อเต็มของกรุงรัตนโกสินทร์ (กรุงเทพฯ) ข้างต้น

ชื่อทางการของกรุงเทพมหานครเมื่อถอดเป็นอักษรโรมัน คือ "Krung Thep Maha Nakhon" แต่คนทั่วไปนิยมทับศัพท์ตามชื่อที่ผู้พูดภาษาอังกฤษเรียกเมืองนี้ว่า "Bangkok" ซึ่งมาจากชื่อเดิมของกรุงเทพมหานคร คือ "บางกอก"

แปลความเป็นภาษาอังกฤษว่า "the Great City of Angels, the Supreme Repository for Divine Jewel, the Great Land Unconquerable, the Grand and Prominent Realm, the Royal and Delightful Capital City full of Nine Noble Gems, the Highest Royal Dwelling and Grand Palace, the Divine Shelter and Living Place of the Reincarnated Spirit"

ที่มา
http://board.postjung.com/610866.html

ขอขอบคุณทางเพจ สงคราม ประวัติศาสตร์ ไว้โอกาสนี้ด้วยครับ :D

วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ระเบียบโลกใหม่.


New world order. ระเบียบโลกใหม่.


New world order.คือการจัดระเบียบโลกใหม่ โดยมีความคิดที่ว่าเป็นภาระของผู้ที่เจริญแล้ว ต้องเข้าไปช่วยเหลือผู้ล้าหลังไร้อารยธรรมเพื่อก้าวสู่โลกใหม่ในอุดมคติ

ซึ่งมันถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างในการรุกรานแอบแฝงผลประโยชน์ หลายครั้ง จนมีความคิดต่อต้านกันว่า ทำไมต้องเปลี่ยนแปลง ทำไมต้องจัดระเบียบ หรือคิดง่ายๆว่าอยู่กันมาแบบนี้ตั้งนานก็ดีแล้ว อย่ามายุ่งกับฉัน ฉันไม่อยากรวมกับใคร เพราะฉันมีวัฒนธรรมเหนือกว่าคนอื่น ฯลฯ

ทำไมต้อง..."จัดระเบียบโลกใหม่"?

.”ตราบใดที่ประเทศต่างๆ ในโลกนี้ยังถูกแยกให้เป็นอิสระจากกันและกัน…สันติภาพ และความรุ่งโรจน์ที่จะมีต่อมวลมนุษยชาติย่อมไม่อาจปรากฏเป็นจริงขึ้นได้และ กว่าที่จะมีการคิดค้นสร้างสรรค์ระบบความร่วมมือระหว่างชาติขึ้นมาได้ จริงๆ…ปัญหาที่แท้จริงในขณะนี้น่าจะอยู่ที่ว่า… ทำอย่างไรที่จะทำให้มีรัฐบาลโลกเกิดขึ้น…” ฟิลลิป เคอร์

-----กลุ่มผู้สนับสนุนก็มีได้แก่ เซอร์ ฮาโรลด์ บัตเลอร์, เนลสัน ร็อคกี้เฟลเลอร์ จอร์จ บอลล์, เลสลี เกลบ์ (ประธานองค์กร CFR) -----
วันที่สำคัญในการสร้างระเบียบโลกใหม่

เพื่อกำหนดความสัมพันธ์ และ ประวัติโดยย่อของ “ระเบียบโลกใหม่” จากคำพูดของผู้ที่มีมีแนวคิดและต้องการทำให้มันเป็นจริงตลอดมาในประวัติ ศาสตร์ ได้อ่านแล้วคุณจะประหลาดใจที่วิธีการวางแผนที่ยิ่งใหญ่ได้ขยายและสืบต่อด้วย วิธีการที่คล้ายคลึงกันจนกระทั่งถึงต้นศตวรรษที่ 21 และเมื่อเทียบกับปี 1990 มีประธานาธิบดีจากครอบครัวบุชอยู่ในอำนาจถึงสองคนเข้ามาเกี่ยวข้อง ..

1912 -- Colonel Edward M. House ซึ่งเคยเป็นที่ปรึกษาใกล้ชิดกับประธานาธิบดี วู๊ดโดรว์ วิลสัน (Woodrow Wilson) ได้พิมพ์หนังสือเรื่อง “Phillip Dru: รัฐบาลซึ่งส่งเสริม สังคมนิยมและความฝัน โดยคาร์ล มารกซ์ (Karl Marx)"

1913 - Federal Reserve (ที่ไม่สหรัฐ หรือสำรอง) จะถูกสร้างขึ้น จากที่วางแผนในที่ประชุมลับในปี 1910 เมื่อ เจ๊คคิล ไอแลนด์ (Jekyll Island) ,จอร์เจีย, โดยกลุ่มของนายธนาคารและนักการเมือง ได้แก่ พ.อ. House ที่ได้โอนอำนาจในการสร้างเงินจากรัฐบาลอเมริกัน ให้กลุ่มเอกชนของนายธนาคาร มันน่าจะเป็นเครื่องกำเนิดของหนี้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

28 กรกฎาคม 1914 – สงครามโลกครั้งที่ 1 ถูกกระตุ้นโดยการลอบสังหารท่านดยุคฟรานซิส เฟอร์ดินานด์ แห่งออสเตรีย

27 พฤษภาคม 1916 – ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน การปราศรัยที่สันนิบาตแห่งชาติและได้เสนอในให้มีสันนิบาตเพื่อบังคับให้มี สันติภาพโลกที่จำเป็นในการป้องกันการกำเริบของสงครามที่คล้ายกัน นั่นคือรัฐบาลโลก (world government)

11 พฤศจิกายน 1918 – ปลายสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง หลังจากการลงนามสงบศึกในชั่วโมงที่ 11 ในวันที่ 11 เดือน 11

30 พฤษภาคม 1919 – ชนชั้นสูงของอังกฤษและอเมริกัน ได้ร่วมกันสร้างสถาบันระหว่างประเทศ ( Institute of International Affairs) ในอังกฤษและ ในสหรัฐอเมริกา ในที่ประชุมที่จัดโดย พ.อ. เฮ้าส์ ร่วมกับสมาชิกสมาคม Fabian ได้แก่ จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ นักเศรษฐศาสตร์ และอีกสองปีต่อมา พ.อ. เฮาส์ ได้รวบรวมเรื่องของสถาบันระหว่างประเทศ เข้าสู่สภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ “Council on Foreign Relation” (CFR)

15 ธันวาคม 1922 - รัฐบาล CFR เสนอการจัดตั้ง “รัฐบาลโลก”(World Government) ฟิลิป เคอร์ (Philip Kerr)

"แน่นอน” ฟิลิป เคอร์ เขียน “มันจะไม่มีความสงบสุข หรือไม่มีความเจริญรุ่งเรือง ให้แก่มวลมนุษยชาติตราบ [ที่แผ่นดิน] ยังคงแบ่งออกเป็น 50 หรือ 60 รัฐอิสระ จนกว่าระบบระหว่างประเทศบางอย่างจะถูกสร้างขึ้น ... ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในวันนี้คือ [หน้าที่]ของรัฐบาลโลก "

1928 – “ สมคบคิดอย่างเปิดเผย: พิมพ์เขียวของการปฏิวัติโลก” (The Open Conspiracy: Blue Prints for a World Revolution) โดย เฮช. จี. เวลส์ (H.G. Wells) ได้พิมพ์และเผยแพร่ อดีตสังคมนิยม สมาชิกของสมาคมเฟเบียน

เวลส์เขียน "การเมืองของโลกที่ 'สมคบคิดอย่างเปิดเผย' ( การเป็นพันธมิตร) จะต้องอ่อนแอลง ถูกลบล้าง รวม และแทนที่รัฐบาลที่มีอยู่ ... ‘พันธมิตร อย่างเปิดเผย’ เป็นผู้รับมรดกโดยธรรมชาติของสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์ มันอาจจะควบคุมมอสโก ก่อนที่มันจะควบคุมนิว ยอร์ค ... ลักษณะของพันธมิตรเปิด จะถูกแสดงขึ้นมาชัดเจน... และมันจะเป็นศาสนาของโลก"

และแนวคิดนี้ได้ขยายตัวออกไปจากกลุ่มนักธุรกิจและชนชั้นขุนนางที่ต้องการผล ประโยชน์ เช่น เกิดการรวมตัวขององค์กรความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ธนาคารโลก ”World Bank” (1944) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ และองค์การสหประชาชาติ “IMF” (1945) หลังจากนั้นก็เกิดตลาดร่วมยุโรป --ที่ในปัจจุบันพัฒนามาเป็น EU (สหภาพยุโรป) และในที่สุดเกิด องค์กรการค้าโลก “World Trade Organization” หรือ “WTO” (1995)

ในปี 1993 สองปีหลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลาย ซามวล ฮันติงตั้น (Samuel Huntington) ได้เขียนบทความเรื่อง “การประทะกันระหว่างอารยธรรมและการจัดระเบียบโลกใหม่” (The Clash of Civilization and the remaking of the New World Order) และตีพิมพ์เป็นหนังสือในปี 1996 แนวคิดของเขาที่ว่าหลังสงครามเย็นแล้ว สิ่งที่คงเหลืออยู่ของความขัดแย้งระหว่างอารยธรรมสำคัญ ๆของโลกโดยเฉพาะอารยธรรมตะวันตก (คริสต์เตียน) กับมุสลิม –ซึ่งตะวันตกมองว่าไม่เป็นประชาธิปไตย—

(หมายเหต: จาก จขบ. ซามวล ฮันติงตั้น เป็นนักคิดและนักวิชาการฝ่ายขวา หนังสือของเขาได้ชื่อว่าเขียนขึ้นมาเพื่อจะสานต่ออุดมการณ์นี้โดยเฉพาะ และถูก เอ๊ดเวิร์ด ซาอิ๊ด นักวิชาการฝ่ายซ้าย ผู้เชี่ยวชาญด้านตะวันออกกลาววิจารณ์ว่าจะเป็นชะนวนความขัดแย้งครั้งใหม่ ระหว่างตะวันตกกับโลกอาหรับ--คำวิจารณ์นั้นก่อนที่จะเกิดสงครามอิรัคและอัฟ ริกานิสถาน และแน่นอน ก่อนเหตการณ์อาหรับสปริง)

เนื้อหาของหนังสือมีจุดมุ่งหมายเพื่ออธิบายข้อเสนอที่ว่า โลกแห่งอนาคตจะถูกกำหนดด้วยวัฒนธรรม และอารยธรรม เนื่องจากอัตลักษณ์ทางอารยธรรมเป็นปัจจัยทั้งในการเชื่อมความผูกพันและในการ ก่อความแปลกแยกระหว่างสังคมมนุษย์ เขาแยกเนื้อหาออกเป็น 5 ตอนเริ่มด้วย

(1) การทบทวนวิวัฒนาการด้านอารยธรรม ที่นำไปสู่ (2) การเปลี่ยนสมดุลระหว่างอารยธรรม ทำให้เกิด (3) การจัดระเบียบ และ (4) การปะทะกันของอารยธรรม นำไปสู่ (5) อนาคตของโลก

และความล่มสลายจากการพ่ายแพ้สงครามเย็น ของฝ่ายคอมมิวนิสต์ทำให้สหรัฐอเมริกา ก้าวขึ้นเป็นอภิมหาอำนาจแต่เพียงผู้เดียว และเป็นปัจจัยทำให้สถานการณ์โลกวิวัฒน์ไปในอีกแนวหนึ่ง นั่นคือเกิดความขัดแย้งรุนแรงระหว่างโลกมุสลิมกับสหรัฐอเมริกาและพันธมิตร

ในระหว่างสงครามเย็นนั้นชาวโลกแยกกันออกตามความแตกต่างของอุดมการณ์ทางการ เมืองและระบบเศรษฐกิจ เมื่อระบบคอมมิวนิสต์พ่ายแพ้ชาวโลกเลิกยึดอุดมการณ์ดังกล่าว และมองหาสิ่งใหม่ มาใช้เป็นกรอบอ้างอิงทางด้านอัตลักษณ์ของตน ยังผลให้ชาวโลกหันกลับไปใช้สิ่งที่พวกเขาเคยใช้มาในอดีต นั่นคือ เชื้อชาติ ศาสนา ภาษา ประเพณี เผ่าพันธุ์และแนวการดำเนินชีวิตซึ่งประกอบกันเป็นวัฒนธรรมและอารยธรรม เมื่อเป็นเช่นนั้นการเมืองระหว่างประเทศจึงดำเนินไปมิใช่เพื่อแสวงหาอำนาจ และผลประโยชน์ดังแต่ก่อนเท่านั้น หากยังเพื่อเสริมสร้างอัตลักษณ์ของกลุ่มชนและรัฐให้เด่นชัดขึ้นอีกด้วย หลังจากสงครามเย็นยุติไม่นานชาวโลกก็แยกกันออกเป็น 8 กลุ่มใหญ่ๆ ตามแนววัฒนธรรมดังนี้


----วัฒนธรรมจีน วัฒนธรรมญี่ปุ่น วัฒนธรรมฮินดู วัฒนธรรมอิสลาม วัฒนธรรมคริสต์(ตะวันออก) วัฒนธรรมตะวันตก (ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกและโปรเตสแตนต์) วัฒนธรรมละตินอเมริกา วัฒนธรรมแอฟริกา----

ในจำนวนกลุ่มต่างๆ นี้ กลุ่มตะวันตกมีพลังทางเศรษฐกิจและทางทหารสูงที่สุด อย่างไรก็ตามวิวัฒนาการในช่วงเวลา 50 ปีที่ผ่านมาทำให้พลังทางเศรษฐกิจและทางทหารของกลุ่มนี้ในเชิงเปรียบเทียบกับ กลุ่มอื่นลดลงเพราะกลุ่มใหญ่ๆ เช่น จีนและอินเดียประสบความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจสูง นอกเหนือจากนั้นกลุ่มเหล่านี้ ยังเริ่มมีพลังทางทหาร อันมีอาวุธทำลายล้างสูงไว้ในครอบครอง ในขณะเดียวกันกลุ่มที่มีศาสนาอิสลามเป็นแกนนำมีความร่ำรวยจากการขายน้ำมัน พร้อมกับการเพิ่มจำนวนของประชากรอย่างรวดเร็ว ความร่ำรวยและการเพิ่มของประชากร ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในด้านโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และทางสังคมอย่างใหญ่หลวง ยังผลให้ประชาชนส่วนหนึ่ง ซึ่งต้องการหาที่พึ่งทางจิตใจหันไปยึดศาสนาเป็นหลักแบบตกขอบ


เนื่องจากอารยธรรมต่างๆ เป็นอารยธรรมเก่าแก่โดยเฉพาะจีน อินเดีย และอิสลาม คนรุ่นหลังในอารยธรรมเหล่านี้ ซึ่งมีความเข้าใจความเป็นไปในอารยธรรมตะวันตกอย่างถ่องแท้ เริ่มมองเห็นว่าวัฒนธรรมของตนนั้น ไม่ด้อยค่ากว่าของกลุ่มตะวันตกเลย ทั้งที่กลุ่มตะวันตกมีความก้าวหน้ากว่าในหลายด้าน นอกจากนั้นพวกเขายังมองอีกว่า บางด้านของวัฒนธรรมตะวันตกเป็นสิ่งชั่วร้าย ในขณะเดียวกันบางส่วนของกลุ่มตะวันตก ยังดึงดันที่จะบอกว่า วัฒนธรรมของตนนั้นเหนือกว่าของผู้อื่น ความเห็นที่ต่างกันนี้นำไปสู่วิวัฒนาการของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทั้งในแนวของการรอมชอม และแนวของการต่อต้านวัฒนธรรมตะวันตกอย่างรุนแรง โดยเฉพาะจากบางส่วนของกลุ่มอิสลาม วิวัฒนาการเหล่านี้จะมีผลกระทบใหญ่หลวงต่อเสถียรภาพของโลกในอนาคต

New World Order

จนกระทั่งวันที่ 11 กันยายน 1990 การจัดระเบียบโลกใหม่ จึงเริ่มขึ้นจริงๆ และเปิดเผย เมื่อสหรัฐอเมริกา โดยประธานาธิบดีจอร์จ บุช (คนพ่อ)(พรรครีพับลิกัน) ได้ประกาศเนื้อหาคล้ายยุทธศาสตร์ชาติ โดยที่ในสมัยรัฐบาลของประธานาธิบดีบิล คลินตัน (พรรคเดโมแครต) นั้น รู้จักกันในนามของ "แผนยุทธศาสตร์ ใหม่ทางการเมือง และ การทหารของรสหรัฐ " (1998) ซึ่งหลังเหตุการณ์ 11 กันยายน 2001 ในสมัยประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช (คนลูก) เริ่มแสดงให้เห็นชัดว่า สหรัฐอเมริกาต้องการเป็น "รัฐบาลโลก" จากการประกาศแนวทางว่า "ใครก็ตามที่ไม่ได้ยืนอยู่เคียงข้างอเมริกา ... ผู้นั้นก็คือฝ่ายผู้ก่อการร้าย"

คำประกาศ "การจัดระเบียบโลกใหม่" ประกอบด้วยสาระสำคัญ 5 ประการ คือ

1.ความเป็นประชาธิปไตย (Democracy)

2.สิทธิมนุษยชน (Human Right)

3.สภาพแวดล้อม (Environment)

4.การค้าเสรี (Free Trade)

5.ลิขสิทธิ์และสิทธิบัตร (Copyright)


และสาระสำคัญเหล้านี้ ได้กลายเป็นเครื่องมือของสหรัฐอเมริกาและประเทศที่เป็นพันธมิตรใช้ในการแสวง หาประโยชน์จากประเทศอื่นๆ ในประชาคมโลก เช่น การบีบบังคับให้ประเทศต่างๆ อยู่ภายใต้อิทธิพลของตนในทุกๆด้าน เช่น การกีดกันการค้าประเทศที่ไม่ทำตามสาระสำคัญทั้ง 4 ประการ (ไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่รักษาสิทธิมนุษยชน ไม่ดูแลสภาพแวดล้อม และไม่เปิดการค้าเสรี)
หลายๆ ประเทศ นำเรื่องนี้มาเป็นนโยบายประเทศของตน ...


ที่มา
http://www.oknation.net/blog/Illusions/2012/02/11/entry-1

ขอขอบคุณทางเพจ สงคราม ประวัติศาสตร์ ไว้โอกาสนี้ด้วยครับ :D

ยู ริ กาการิน


ยู ริ กาการิน (Yuri Gagarin) หรือชื่อเต็มว่า ยูริ อะเลคเสเยวิช กาการิน (Yuri Alexseyevich Gagarin) เป็นชายชาวโซเวียต เกิดเมื่อวันที่ 9 มีนาคม ค.ศ. 1934 ในเมืองกชาทสค์ ซึ่งถูกเลี้ยงดูและเติบโตขึ้นมาพร้อมกับพี่น้อง 4 คนคือ วาเลนติน โซยา และบอริส โดยตัวเขาเองเป็นลูกคนที่ 3 ของครอบครัวช่างไม้ หลังจากนั้นก็เข้าศึกษาวิชาการปั้นในโรงเรียนการค้าใกล้กับกรุงมอสโก ต่อด้วยวิทยาลัยอุตสาหกรรมแห่งซาราตอฟ ระหว่างนี้เองที่ ยูริ กาการิน เข้าอบรมการบินไปพร้อมกันด้วย ก่อนที่จะเข้าโรงเรียนนายเรืออากาศโซเวียต และสำเร็จการศึกษาปี ค.ศ. 1957 โดยในปีเดียวกันนี้เขาก็ได้สมรสกับ วาเลนตินา กอร์ยาเซว่า

ต่อมาในปี 1960 ยูริ กาการิน ก็ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมโปรแกรมการฝึกนักบินอวกาศพร้อมกับสมาชิกอีก 20 คน จนในที่สุดเขาก็ได้รับเกียรติให้เป็นนักบินอวกาศคนแรกที่ได้ขึ้นไปสำรวจ เหนือชั้นบรรยากาศในวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 1961 ด้วยยานอวกาศวอสตอก 1 โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 108 นาที จากฐานยิงสู่วงโคจร ซึ่งอยู่ห่างจากพื้นดิน 203 ไมล์หรือประมาณ 327 กิโลเมตร แต่การเดินทางครั้งนี้ใช่ว่าจะราบรื่นเสียทีเดียว เนื่องจากบางส่วนของยานอวกาศเกิดความเสียหาย ซึ่งเป็นผลกระทบจากรังสีต่าง ๆ ในขณะเดียวเขาต้องพยายามบังคับหนีจากแรงดึงดูดของโลกถึง 8 ครั้งจนกระทั่งสามารถเข้าสู่วงโคจรและบินสำรวจโลกภายนอกโดยรอบได้ในที่สุด ซึ่งใช้เวลาไปประมาณ 10 วัน

แต่ทั้งนี้เนื่องจากยานวอสตอก 1 ไม่มีระบบชะลอความเร็วทำให้ ยูริ กาการิน ต้องดีดตัวออกมาจากยานอวกาศที่ความสูง 7 กิโลเมตร และร่อนลงสู่พื้นด้วยร่มชูชีพ เช่นเดียวกับยานวอสตอกซึ่งลงจอดโดยร่มชูชีพในทุ่งในแคว้นวอลกา ซึ่งทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดีและไม่มีใครได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด และยังได้รับการต้อนรับอย่างดีจากผู้คนจำนวนมาก ยิ่งไปกว่านั้นเขายังถูกยกย่องให้เป็นวีรบุรุษแห่งสหภาพโซเวียต และเครื่องประดับเกียรติยศเลนิน ซึ่งจากเหตุการณ์นี้เองที่ทำให้ชื่อของ ยูริ กาการิน ถูกบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์ในฐานะนักบินอวกาศคนแรกของโลก

อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าเสียดายอย่างที่ ยูริ กาการิน ได้จากโลกนี้ไปในวันที่ 27 มีนาคม ค.ศ. 1968 ด้วยวัยเพียง 34 ปีเท่านั้น เนื่องจากเครื่องบินตกในขณะที่กำลังบินอยู่ในน่านฟ้าด้วยเครื่องบิน MiG-15 โดยอัฐิของเขาถูกเก็บเอาไว้ในช่องกำแพงเครมลิน แต่ทั้งนี้การเสียชีวิตของเขาก็ไม่ได้ทำให้ชื่อของเขาเลือนหายไปตามกาลเวลา เพราะมีการสร้างอนุสรณ์สถาน และยังนำชื่อของ ยูริ กาการิน ไปตั้งเป็นชื่อถนน ชื่อเมือง พร้อมกับสถานที่หลายแห่งทั่วประเทศ เพื่อเป็นเกียรติให้นักบินอวกาศคนแรกของโลกคนนี้ด้วย

 ที่มา http://men.kapook.com/

ขอขอบคุณเพจ สงคราม ประวัติศาสตร์ ไว้ที่นี้ด้วยครับผม

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ฟิเดล คาสโตร สุดยอดคนพันธุ์อึด.


สุดยอดคนพันธุ์อึด Die Hard

ฟิเดล คาสโตร โดนลอบสังหารกว่า600ครั้ง ในรอบ50ปี โดย CIAและกลุ่่มต่อต้าน วางแผนกันมาตั้งแต่ประธานาธิบดีไอเซนฮาวน์๋
50ปีกับแผนการลอบสังหารนับไม่ถ้วน

ซีไอเอเคยจ้างมาเฟียมะกัน ให้ลอบสังหารฟิเดล คาสโตรด้วยยาพิษสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ (ซีไอเอ) เผยแพร่เอกสารลับ แฟมิลี่ จีเวลส์ ว่าด้วยปฏิบัติการลับสุดยอดของซีไอเอในช่วงทศวรรษ 2503-2513
ซีไอเอจ้างมาเฟียคิว+มาเฟียอิตาลี่ 1.5 แสนดอลลาร์ นายจอห์นนี โรเซลลี หรือซานโตส ทราฟิคันท์ มาเฟียคิวบา และนายซัลวาตอเร จิอานคันนา มาเฟียเชื้อสายอิตาลี เจ้าของสมญาอัลคาโปนคนใหม่ ซึ่งต่างเป็นผู้ต้องหาที่สหรัฐต้องการตัวมากที่สุดในยุคนั้น เป็นผู้รับผิดชอบในแผนลอบสังหารด้วยยาพิษ 6 เม็ด ที่เตรียมไว้สำหรับใส่ในอาหารและเครื่องดื่ม

วันที่ 17 เมษายน 1961 อเมริกาโดย CIA ได้ส่งกองกำลังชาวคิวบาพลัดถิ่นที่ถูกนำมาฝึกทางการทหารแบบลับๆ 1,500 คน ภายใต้ชื่อกองพัน 2506 พร้อมอาวุธครบมือเข้าเทียบชายฝั่งทางตอนใต้ของอ่าวหมู กำลังพลถึง 1,200คน ถูกคิวบาจับคุมขัง เหตุการณ์นี้นับว่าเป็นเหตุการณ์อัปยศที่สุดเหตุการณ์หนึ่งของอเมริกา

และความพยายามอีกมากมายของหลายกลุ่มในการลอบสังหาร ฟิเดล คาสโตร
หอยติดระเบิดในแคริเบียน
ปากกาฉีดยาพิษ
วางยาในอาหารอาหาร
ชู้รักโดนอเมริกาจ้างให้มาลอบฆ่า
ซิกการ์ระเบิดได้
ไมโครโฟนอาบยาพิษ
ใส่ยาพิษในรองเท้า
ระเบิดใต้แท่นปราศัย

50ปีกับการลอบสังหาร600กว่าครั้ง
ฟิเดล คาสโตร ปกครองคิวบานานเท่ากับประธานาธิบดีของอเมริกา10คน
ตั้งแต่ไอเซนฮาวน์-บุช

ปัจจุบันอเมริกาประสบความสําเร็จแล้วดูคลิปในลิ๊งว่าประสบความสําเร็จเป็นยังไงไปดูกัน
http://archive.voicetv.co.th /content/24634/คิวบาโวยสหรัฐฯพัฒนาเกมฆ่าคาสโตร%20(http: //archive.voicetv.co.th/content/24634/คิวบาโวยสหรัฐฯพัฒนาเกมฆ่าคาสโตร)

โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม
ขอขอบคุณทางเพจ สงคราม ประวัติศาสตร์ ไว้ที่นี้ด้วยครับ :D :D :D

เรือดำน้ำ เยอรมัน จมเพราะส้วม!!


เรือดำน้ำ U-1206 เยอรมัน จมเพราะส้วม

ในสงคราม ทุกสิ่งสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ บางครั้งแค่เรื่องเล็กๆใกล้ตัว ก็สามารถชี้ผลแพ้ชนะกันได้เลยทีเดียว และเช่นเดียวกับเรื่องนี้ที่ผมจะมาเล่าให้ฟัง เพียงแค่การอึ
ก็สามารถจมเรือดำน้ำได้ เรื่องราวจะเป็นยังไง ไปอ่านกันเลยครับ

ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ทางฝั่งนาซีได้สร้างเรือดำน้ำรุ่นใหม่ชื่อว่า U-1206 (อู-1206) ซึ่งเรือดำน้ำรุ่นนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับแรงดันน้ำภายนอกตัวเรือได้ มากขึ้น พูดง่ายๆก็คือ เรือสามารถดำน้ำได้ลึกขึ้นนั่นเอง และนอกจากนี้ ห้องน้ำในตัวเรือยังสามารถใช้ได้ในขณะดำน้ำลึกๆ ซึ่งเรือรุ่นก่อนๆ
ไม่สามารถทำได้(ส้วมทนแรงดันไม่ไหว)

และแล้วในวันที่ 14 เมษายน ปี 1945 ขณะที่เรือ U-1206 ดำอยู่ในระดับความลึก 200 ฟุต (60.96 เมตร ประมาณเป็น 70 เมตรละกัน) ห่างจากชายฝั่งอังกฤษไปประมาณ 8-10 ไมล์ กัปตัน Schlitt Karl Adolf เกิดปวดอึขึ้นมา ก็เลยไปเข้าห้องน้ำ แต่เนื่องจากเรือดำน้ำรุ่นนี้เป็นรุ่นใหม่ การใช้ส้วมในระดับความลึกจำเป็นต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้ส้วม ซึ่งในเรือดำน้ำรุ่นใหม่แต่ละลำ จะต้องมีผู้เชี่ยวชาญติดเรือไปด้วย 1 คน แต่กัปตันท่านนี้ ไม่ถงไม่ถามผู้เชี่ยวชาญซักคำ เดินไปห้องน้ำคนเดียว อีกทั้งยังอ่านคู่มือเองด้วย และก็คิดว่าตัวเองเข้าใจดีแล้ว จึงอึตามปกติ

เมื่ออึเสร็จแล้ว ปรากฏว่า มีปัญหาทางเทคนิคนิดหน่อย กัปตัน Schlitt เลยเรียกผู้เชี่ยวชาญเรื่องส้วมมาช่วย เมื่อผู้เชี่ยวชาญมาถึงปุ๊บ ก็อ่านคู่มือ และดันมึนไปเล็กน้อย ดันไปเปิดวาล์วที่เก็บน้ำทะเลเอาไว้ ผลลัพธ์ก็คือ น้ำทะลจำนวนมหาศาลไหลเข้ามาในตัวเรือ ผ่านทางส้วมครับ

สุขภาพก็ึคือ มันสามารถทำลายเนื้อเยื่อร่างกายคนได้ หากสูดดมไป มันจะไปทำลายปอด ด้วยเหตุนี้ กัปตันเลยสั่งให้นำเรือขึ้นสู่ผิวน้ำ และระบายก๊าซคลอรีนออก โดยการเปิดทางเข้า-ออกเรือ แต่ปัญหาของเรือดำน้ำนี้ยังไม่จบ เพราะ ตรงจุดที่เรือขึ้นสู่ผิวน้ำนั้น ดันมีเครื่องบินของฝ่ายพันธมิตรบินอยู่ (ซวยชิบ)

ลูกเรือนาซีรีบวิ่งไปที่ปืนต่อต้านอากาศยานเพื่อเตรียมตัวป้องกัน แต่ว่าช้าไป เครื่องบินฝ่ายพันธมิตรได้ทิ้งระเบิดใส่จนทำให้เรือดำน้ำไม่สามารถใช้่งาน ต่อไปได้ ด้วยเหตุนี้ กัปตัน Schlitt เลยสั่งให้ลูกเรือทุกคนสละเรือก่อนที่เรือจะจม สรุปแล้ว เหตุการณ์ครั้งนี้ มีลูกเรือนาซีจมน้ำตายไป 3 คน และลูกเรืออีก 46 คนที่เหลือถูกจับเป็นเชลย

ขอขอบคุณทางเพจ สงคราม ประวัติศาสตร์ ไว้โอกาสนี้ด้วยครับ

วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

บันทึกรัก.. สงครามโลก


บันทึกรัก.. สงครามโลก

คำขอสุดท้ายสุดซึ้งของทหารในสมรภูมิ.. ก่อนตาย

บันทึกรักสมัยสงครามโลกของทหารเรือนายหนึ่งที่เขียนว่าหากใครก็ตามพบเจอไดอารี่เล่มนี้ช่วยนำมันไปให้กับหญิงสาวอันเป็นที่รักของเขา ซึ่งถือว่าเป็นคำขอสุดท้ายในชีวิตของเขา ด้านหญิงสาวได้อ่านหลังล่วงเลยมากว่า 70 ปี

วันนี้(28 พ.ค.) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ก่อนที่สิบโท โทมัส "คอตต้อน" โจนส์ จะถูกฆ่าโดยสไนเปอร์ชาวญ๊่ปุ่นใน แปซิฟิก ตอนใต้ในช่วงปี 1944 เขาได้เขียนบันทึกไว้เล่มหนึ่งที่ตัวเขาเองเรียกว่า "คำขอสุดท้ายของชีวิต" โดยขอให้ใครก็ตามที่พบไดอารี่เล่มนี้โปรดนำมันไปมอบให้กับ "ลอร่า เมย์ เดวิส" หญิงสาวอันเป็นที่รัก โดยเดวิสนั้นได้อ่านไดอารี่เล่มนี้ก็เมื่อเวลาผ่านล่วงเลยมากว่า 70 ปี ซึ่งเธอพบมันในตู้โชว์พิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ 2แห่งชาติ ซึ่งหญิงสาวในวัย 90 ปี ได้กล่าวทั้งน้ำตาว่า "เธอไม่รู้มาก่อนเลยว่ามีไดอารี่เล่มนี้อยู่ที่นี้"

ทั้งนี้ลอร่า เมย์ เดวิส เองนั้นได้แต่งงานกับทหารอากาศนายหนึ่งในปี 1945 และมาทราบภายหลังถึงเรื่องไดอารี่เล่มดังกล่าว จึงได้เดินทางไปพิพิธภัณฑ์ นิว ออร์ลีนส์ เมื่อวันที่ 24 เมษายนที่ผ่านมาเพื่อตามหาตู้อนุสรณ์ของนาวิกหนุ่มที่เคยเป็นแฟนเธอสมัยเรียนมัธยมปลาย โดยเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ได้อนุญาติให้เดวิสดูไดอารี่เล่มดังกล่าว ทั้งเผยว่า 17 ปีที่ทำงานมานี่เป็นครั้งแรกที่เขาเพิ่งเคยเห็นอะไรแบบนี้ โดยไดอารี่เล่มนี้นั้นเป็นของขวัญที่โจนส์ต้องการมอบให้เดวิส ซึ่งเขาทั้ง 2 พบกันที่มัยธมปลายวินสโล รุ่นที่ 41 ซึ่งโจนส์เป็นนักเบสบอลขณะที่เดวิสนั้นเป็นเชียร์ลีดเดอร์ ซึ่งโจนส์ได้มอบแหวนรุ่นให้กับเธอแต่ว่าทั้งคู่นั้นไม่ได้หมั่นกันแต่อย่างใด แต่เธอและเขานั้นได้ใช้เวลาด้วยกันตลอดในช่วงชีวิตมัธยมปลาย ซึ่งทั้งคู่ได้ไปงานพรอมด้วยกันอีกด้วย

อย่างไรก็ตามโจนส์ได้เขียนบันทึกขึ้นในระหว่างอยู่ที่แคมป์ในซาน ดิเอโก้ ซึ่งเป็นเวลาไม่ถึงปีที่เขาได้เริ่มเขียนบันทึกก่อนที่หลังจากนั้นเขาจะถูกยิงเสียชีวิตในเวลาต่อมา ซึ่งภายในบันทึกนั้นได้อธิบายถึงชีวิตของเขาในกองทัพกองทัพเรือและหญิงสาวที่เขารักหมดหัวใจ ลอร่า เมย์ ซึ่งหากใครก็ตามที่พบบันทึกเล่มนี้โปรดนำมันไปมอบให้กับเธอ นี้คือคำขอสุดท้ายของผมในชีวิต ทั้งนี้ในบันทึกยังมีเรื่องราวที่เขาชนะการเล่นลูกเต๋าได้เงินมา 200 เหรียญฯ บวกกับที่มีติดตัวอยู่อีกทำให้เขามีเงินทั้งหมด 320 เหรียญ ซึ่งเขาเขียนในบันทึกว่า ถ้าเขากลับไปที่บ้านเมื่อไหร่ "ลอร่า เมย์กับผมจะต้องมีวันคริสต์มาสที่สุดแสนวิเศษแน่นอนเลย" และยังทิ้งท้ายไว้ว่า เขาสงสัยว่าจะให้เงินทั้งหมดเป็นของขวัญวันคริสต์มาสแก่ลอร่าได้มั้ยน่ะ แต่น่าเศร้าที่เรื่องดังกล่าวนั้นไม่เคยเกิดขึ้น เนื่องจากสไนเปอร์ได้ยิงกระสุนเข้าบริเวณศรีษะของโจนส์เมื่อวันที่ 17 กันยายน 1944 ซึ่งเป็นวันที่ 3 ที่กองกำลังสหรัฐฯได้บุกขึ้นหมู่เกาะเปเลลิวในมหาสมุทรแปซิฟิค, สาธารณรัฐปาเลา

ซึ่งก่อนที่ลอร่าจะเดินทางกลับทางพิพิธภัณฑ์ได้มอบสำเนาไดอารี่ให้กับเธอ โดยไดอารี่มีขนาดประมาณ 4/7 นิ้ว ปกสีดำซึ่งมีรูปลอร่าสมัยสาวๆติดอยู่ ซึ่งแม้ว่ารูปจะเป็นภาพขาวดำ แต่ได้มีช่างภาพแต้มสีแก้มเธอเป็นสีชมพูและริมฝีปากสีดำแดง ซึ่งได้มีลายเซ็นต์ที่เธอเคยเขียนไว้ว่า "รัก จากลอรี่"

ที่มาhttp://women.postjung.com/680908.html

ขอขอบคุณทางเพจ สงคราม ประวัติศาสตร์ ไว้ที่นี้ด้วยครับ :D

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ปราสาทนครวัดจำลองที่วัดพระแก้วฯ



ปราสาทนครวัดจำลองที่วัดพระแก้วฯมีอายุกว่า146ปี





หากท่านใดเคยไปเที่ยวชมวัดพระแก้วมรกต คงเคยได้เห็นปราสาทนครวัดขนาดจิ๋วตั้งอยู่ข้างพระเจดีย


พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จำลองนครวัดมาไว้ที่วัดพระแก้วเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2410 หรือเมื่อ 146 ปีที่แล้วนั่นเอง ซึ่งในสมัยนั้นเมืองเขมร เป็นเมืองขึ้นของสยามประเทศ พระองค์ทรงมีแนวคิดที่จะย้ายปราสาทนครวัดทั้งหมด มาอยู่ที่กรุงเทพฯ จึงมีการเตรียมขนย้ายกันขนานใหญ่ แต่ระหว่างที่จะขนย้ายนั้นมีพวกเขมรคอยขัดขวางและต่อสู้กัน เพื่อไม่ให้ขนย้ายไปที่อื่น รัชกาลที่ 4 จึงดำริให้สร้างนครวัดจำลองในวัดพระแก้วแทน เพื่อเป็นศูนย์กลางจักรวาล



ที่มา ประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์
เเละ ขอขอบคุณเพจ สงคราม ประวัติศาสตร์ ไว้ที่นี้ด้วยครับ