ทฤษฎี โดมิโน Domino theory.
ไทยไม่ล้ม มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดเนเซีย พม่า อินเดีย ก็ไม่ล้ม..
ทฤษฎีโดมิโน ในเอเซียเมื่อหลายสิบปีก่อน กลับเป็นโดมิโน สู่การเป็นคอมมิวนิสต์ เมื่อจีน เกาหลีเหนือ และเวียดนาม เป็นคอมมิวนิสต์ จึงมีความเชื่อว่าประเทศอื่น ๆ เช่นลาว กัมพูชา ไทย มาเลเซีย รวม 10 ประเทศ จะถูกครอบงำโดยระบบคอมมิวนิสต์ตามไปด้วย ไทยซึ่งถูกคาดการณ์ว่า จะเป็นโดมิโน่ตัวที่ 6 ต่อจากกัมพูชา เวียดนามและลาว จึงทำให้รัฐบาลในขณะนั้น กวาดล้างประชาชน และโจมตีผู้ที่มีความเห็นต่างว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ซึ่งข้อหาในลักษณะนี้ ยังถูกใช้เป็นเครื่องมือของภาครัฐจัดการประชาชน รวมถึงปัจจุบัน
สงครามเวียดนามก่อตัวขึ้นเมื่อปี 2500 เป็นการต่อสู้ระหว่างชนชาติเดียวกันคือ เวียดนามเหนือกับเวียดนามใต้ และจบลงในปี 2518 โดยเวียดนามเหนือซึ่งปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์เป็นฝ่ายมีชัย แล้วรวมประเทศเข้าเป็นหนึ่งเดียว
เวลานั้นมีการพูดถึงทฤษฎีโดมิโนกันอย่างแพร่หลายในหลายประเทศรวมทั้งในไทย ทฤษฎีโดมิโนที่ว่าคือการเปรียบเทียบประเทศต่าง ๆ ที่อยู่ติด ๆ กันหรือมีผลต่อกันและกันว่าคล้ายกับตัวโดมิโน ที่เมื่อตัวหนึ่งล้มลงจะส่งผลให้ตัวที่อยู่ถัดไปล้มลงอย่างต่อเนื่องเป็นลูก โซ่ หรือเมื่อประเทศใดประเทศหนึ่งเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบอบคอมมิวนิสต์ ประเทศที่อยู่ใกล้เคียงหรือมีความใกล้ชิดสนิทสนมก็จะเลียนแบบและกลายเป็น ประเทศที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ไปด้วย
แนวคิดนี้ถูกนำมาใช้ในทวีปเอเชีย เมื่อจีน เกาหลีเหนือ และเวียดนาม ใช้การปกครองแบบระบอบคอมมิวนิสต์ นักวิชาการด้านการเมืองการปกครองที่เชื่อในทฤษฎีโดมิโนก็ออกมาคาดการณ์ว่า ลาว กัมพูชา ไทย และมาเลเซีย ซึ่งเปรียบไปคล้ายกับตัวโดมิโนถัด ๆ ไป ก็จะล้มลงจากระบอบประชาธิปไตยแล้วเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบอบคอมมิวนิสต์ในที่สุด
ประเทศไทยเวลานั้นระส่ำระสาย ทั้งศึกนอกและศึกใน ศึกในที่เห็นได้ชัดเจน เริ่มจาก “วันเสียงปืนแตก” หรือวันที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เปิดฉากต่อสู้ด้วยอาวุธกับกองกำลังเจ้าหน้าที่ของไทยเป็นครั้งแรก เมื่อ 7 สิงหาคม 2508 ที่เรณูนคร จังหวัดนครพนม แล้วก็มีปฏิบัติการอย่างต่อเนื่องในเวลาต่อมา หรือเหตุการณ์ในภาคใต้ที่เริ่มความรุนแรงตั้งแต่ปี 2510 ตามติดด้วยเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และพลิกผันไปสู่ 6 ตุลาคม 2519 ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านของเราคือกัมพูชา และลาว ก็มีการสู้รบภายในประเทศของเขา และเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบอบคอมมิวนิสต์ในที่สุด ตามคาดการณ์ของแนวคิดทฤษฎีโดมิโน
คนไทยคงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าในช่วงเวลานั้น ก็อยู่ในความหวั่นวิตกเอาการ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะเราคือประเทศถัดไป แต่ที่น่ากลัวกว่าก็คือการที่นักลงทุนจากต่างชาติ ยกเลิกการลงทุนในไทย ส่วนที่ลงทุนอยู่แล้วก็เริ่มทะยอยถอนตัวบินกลับประเทศ
สรุปก็คือ สถานการณ์บ้านเมืองขณะนั้น ไม่ดีกว่าเมืองไทยเวลานี้ หรืออาจจะเลวร้ายกว่าด้วยซ้ำ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ทุกอย่างก็ค่อย ๆ คลี่คลายไปได้ ประเทศของเราก็มีวิวัฒนาการมาโดยลำดับ จะมีชะงักบ้างจากการทะเลาะเบาะแว้ง การปฏิวัติรัฐประหาร และกบฎ ไม่ว่าจะกบฎ 26 มีนาคม กบฎยังเติร์ก การรัฐประหาร รสช. หรือแม้แต่ที่รุนแรงมากก็เมื่อเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 17 – 20 พฤษภาคม 2535 ช่วงที่ประชาชนออกมาเคลื่อนไหวประท้วงรัฐบาล แล้วมีการใช้กำลังเข้าปราบปราม มีผู้คนล้มตายและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
จำได้ว่าทุกครั้งที่เหตุการณ์รุนแรงมาก ๆ ผ่านพ้นไป ภาครัฐและภาคเอกชน จะออกมาร่วมมือกันกอบกู้สถานการณ์ จะมีทั้งการจัดตั้งคณะทำงานหลายคณะ ช่วยกันทำงานตามความถนัด ตามกำลังและความสามารถ ทั้งในทางการเมือง การค้า การสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และการกอบกู้ภาพลักษณ์ของประเทศ เรียกได้ว่าทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการดูแลและเยียวยาประเทศ ไม่ได้ปล่อยให้เป็นภารกิจของภาครัฐอย่างโดดเดี่ยว
ประเทศไทยในขณะนั้น จึงเป็นประเทศแรก ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่หยุดทฤษฎีโดมิโนนี้ได้อย่างเป็นรูปธรรมและนามธรรม
อย่างไรก็ดี ทฤษฎีโดมิโนนี้ ก็ยังถูกนำมาใช้ในโลกปัจจุบัน ในหลายๆเหตุการณ์
ขอขอบคุณเพจ สงคราม ประวัติศาสตร์ ไว้ณที่นี่ด้วยครับ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น