New world order. ระเบียบโลกใหม่.
New world order.คือการจัดระเบียบโลกใหม่ โดยมีความคิดที่ว่าเป็นภาระของผู้ที่เจริญแล้ว ต้องเข้าไปช่วยเหลือผู้ล้าหลังไร้อารยธรรมเพื่อก้าวสู่โลกใหม่ในอุดมคติ
ซึ่งมันถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างในการรุกรานแอบแฝงผลประโยชน์ หลายครั้ง จนมีความคิดต่อต้านกันว่า ทำไมต้องเปลี่ยนแปลง ทำไมต้องจัดระเบียบ หรือคิดง่ายๆว่าอยู่กันมาแบบนี้ตั้งนานก็ดีแล้ว อย่ามายุ่งกับฉัน ฉันไม่อยากรวมกับใคร เพราะฉันมีวัฒนธรรมเหนือกว่าคนอื่น ฯลฯ
ทำไมต้อง..."จัดระเบียบโลกใหม่"?
.”ตราบใดที่ประเทศต่างๆ ในโลกนี้ยังถูกแยกให้เป็นอิสระจากกันและกัน…สันติภาพ และความรุ่งโรจน์ที่จะมีต่อมวลมนุษยชาติย่อมไม่อาจปรากฏเป็นจริงขึ้นได้และ กว่าที่จะมีการคิดค้นสร้างสรรค์ระบบความร่วมมือระหว่างชาติขึ้นมาได้ จริงๆ…ปัญหาที่แท้จริงในขณะนี้น่าจะอยู่ที่ว่า… ทำอย่างไรที่จะทำให้มีรัฐบาลโลกเกิดขึ้น…” ฟิลลิป เคอร์
-----กลุ่มผู้สนับสนุนก็มีได้แก่ เซอร์ ฮาโรลด์ บัตเลอร์, เนลสัน ร็อคกี้เฟลเลอร์ จอร์จ บอลล์, เลสลี เกลบ์ (ประธานองค์กร CFR) -----
วันที่สำคัญในการสร้างระเบียบโลกใหม่
เพื่อกำหนดความสัมพันธ์ และ ประวัติโดยย่อของ “ระเบียบโลกใหม่” จากคำพูดของผู้ที่มีมีแนวคิดและต้องการทำให้มันเป็นจริงตลอดมาในประวัติ ศาสตร์ ได้อ่านแล้วคุณจะประหลาดใจที่วิธีการวางแผนที่ยิ่งใหญ่ได้ขยายและสืบต่อด้วย วิธีการที่คล้ายคลึงกันจนกระทั่งถึงต้นศตวรรษที่ 21 และเมื่อเทียบกับปี 1990 มีประธานาธิบดีจากครอบครัวบุชอยู่ในอำนาจถึงสองคนเข้ามาเกี่ยวข้อง ..
1912 -- Colonel Edward M. House ซึ่งเคยเป็นที่ปรึกษาใกล้ชิดกับประธานาธิบดี วู๊ดโดรว์ วิลสัน (Woodrow Wilson) ได้พิมพ์หนังสือเรื่อง “Phillip Dru: รัฐบาลซึ่งส่งเสริม สังคมนิยมและความฝัน โดยคาร์ล มารกซ์ (Karl Marx)"
1913 - Federal Reserve (ที่ไม่สหรัฐ หรือสำรอง) จะถูกสร้างขึ้น จากที่วางแผนในที่ประชุมลับในปี 1910 เมื่อ เจ๊คคิล ไอแลนด์ (Jekyll Island) ,จอร์เจีย, โดยกลุ่มของนายธนาคารและนักการเมือง ได้แก่ พ.อ. House ที่ได้โอนอำนาจในการสร้างเงินจากรัฐบาลอเมริกัน ให้กลุ่มเอกชนของนายธนาคาร มันน่าจะเป็นเครื่องกำเนิดของหนี้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
28 กรกฎาคม 1914 – สงครามโลกครั้งที่ 1 ถูกกระตุ้นโดยการลอบสังหารท่านดยุคฟรานซิส เฟอร์ดินานด์ แห่งออสเตรีย
27 พฤษภาคม 1916 – ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน การปราศรัยที่สันนิบาตแห่งชาติและได้เสนอในให้มีสันนิบาตเพื่อบังคับให้มี สันติภาพโลกที่จำเป็นในการป้องกันการกำเริบของสงครามที่คล้ายกัน นั่นคือรัฐบาลโลก (world government)
11 พฤศจิกายน 1918 – ปลายสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง หลังจากการลงนามสงบศึกในชั่วโมงที่ 11 ในวันที่ 11 เดือน 11
30 พฤษภาคม 1919 – ชนชั้นสูงของอังกฤษและอเมริกัน ได้ร่วมกันสร้างสถาบันระหว่างประเทศ ( Institute of International Affairs) ในอังกฤษและ ในสหรัฐอเมริกา ในที่ประชุมที่จัดโดย พ.อ. เฮ้าส์ ร่วมกับสมาชิกสมาคม Fabian ได้แก่ จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ นักเศรษฐศาสตร์ และอีกสองปีต่อมา พ.อ. เฮาส์ ได้รวบรวมเรื่องของสถาบันระหว่างประเทศ เข้าสู่สภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ “Council on Foreign Relation” (CFR)
15 ธันวาคม 1922 - รัฐบาล CFR เสนอการจัดตั้ง “รัฐบาลโลก”(World Government) ฟิลิป เคอร์ (Philip Kerr)
"แน่นอน” ฟิลิป เคอร์ เขียน “มันจะไม่มีความสงบสุข หรือไม่มีความเจริญรุ่งเรือง ให้แก่มวลมนุษยชาติตราบ [ที่แผ่นดิน] ยังคงแบ่งออกเป็น 50 หรือ 60 รัฐอิสระ จนกว่าระบบระหว่างประเทศบางอย่างจะถูกสร้างขึ้น ... ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในวันนี้คือ [หน้าที่]ของรัฐบาลโลก "
1928 – “ สมคบคิดอย่างเปิดเผย: พิมพ์เขียวของการปฏิวัติโลก” (The Open Conspiracy: Blue Prints for a World Revolution) โดย เฮช. จี. เวลส์ (H.G. Wells) ได้พิมพ์และเผยแพร่ อดีตสังคมนิยม สมาชิกของสมาคมเฟเบียน
เวลส์เขียน "การเมืองของโลกที่ 'สมคบคิดอย่างเปิดเผย' ( การเป็นพันธมิตร) จะต้องอ่อนแอลง ถูกลบล้าง รวม และแทนที่รัฐบาลที่มีอยู่ ... ‘พันธมิตร อย่างเปิดเผย’ เป็นผู้รับมรดกโดยธรรมชาติของสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์ มันอาจจะควบคุมมอสโก ก่อนที่มันจะควบคุมนิว ยอร์ค ... ลักษณะของพันธมิตรเปิด จะถูกแสดงขึ้นมาชัดเจน... และมันจะเป็นศาสนาของโลก"
และแนวคิดนี้ได้ขยายตัวออกไปจากกลุ่มนักธุรกิจและชนชั้นขุนนางที่ต้องการผล ประโยชน์ เช่น เกิดการรวมตัวขององค์กรความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ธนาคารโลก ”World Bank” (1944) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ และองค์การสหประชาชาติ “IMF” (1945) หลังจากนั้นก็เกิดตลาดร่วมยุโรป --ที่ในปัจจุบันพัฒนามาเป็น EU (สหภาพยุโรป) และในที่สุดเกิด องค์กรการค้าโลก “World Trade Organization” หรือ “WTO” (1995)
ในปี 1993 สองปีหลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลาย ซามวล ฮันติงตั้น (Samuel Huntington) ได้เขียนบทความเรื่อง “การประทะกันระหว่างอารยธรรมและการจัดระเบียบโลกใหม่” (The Clash of Civilization and the remaking of the New World Order) และตีพิมพ์เป็นหนังสือในปี 1996 แนวคิดของเขาที่ว่าหลังสงครามเย็นแล้ว สิ่งที่คงเหลืออยู่ของความขัดแย้งระหว่างอารยธรรมสำคัญ ๆของโลกโดยเฉพาะอารยธรรมตะวันตก (คริสต์เตียน) กับมุสลิม –ซึ่งตะวันตกมองว่าไม่เป็นประชาธิปไตย—
(หมายเหต: จาก จขบ. ซามวล ฮันติงตั้น เป็นนักคิดและนักวิชาการฝ่ายขวา หนังสือของเขาได้ชื่อว่าเขียนขึ้นมาเพื่อจะสานต่ออุดมการณ์นี้โดยเฉพาะ และถูก เอ๊ดเวิร์ด ซาอิ๊ด นักวิชาการฝ่ายซ้าย ผู้เชี่ยวชาญด้านตะวันออกกลาววิจารณ์ว่าจะเป็นชะนวนความขัดแย้งครั้งใหม่ ระหว่างตะวันตกกับโลกอาหรับ--คำวิจารณ์นั้นก่อนที่จะเกิดสงครามอิรัคและอัฟ ริกานิสถาน และแน่นอน ก่อนเหตการณ์อาหรับสปริง)
เนื้อหาของหนังสือมีจุดมุ่งหมายเพื่ออธิบายข้อเสนอที่ว่า โลกแห่งอนาคตจะถูกกำหนดด้วยวัฒนธรรม และอารยธรรม เนื่องจากอัตลักษณ์ทางอารยธรรมเป็นปัจจัยทั้งในการเชื่อมความผูกพันและในการ ก่อความแปลกแยกระหว่างสังคมมนุษย์ เขาแยกเนื้อหาออกเป็น 5 ตอนเริ่มด้วย
(1) การทบทวนวิวัฒนาการด้านอารยธรรม ที่นำไปสู่ (2) การเปลี่ยนสมดุลระหว่างอารยธรรม ทำให้เกิด (3) การจัดระเบียบ และ (4) การปะทะกันของอารยธรรม นำไปสู่ (5) อนาคตของโลก
และความล่มสลายจากการพ่ายแพ้สงครามเย็น ของฝ่ายคอมมิวนิสต์ทำให้สหรัฐอเมริกา ก้าวขึ้นเป็นอภิมหาอำนาจแต่เพียงผู้เดียว และเป็นปัจจัยทำให้สถานการณ์โลกวิวัฒน์ไปในอีกแนวหนึ่ง นั่นคือเกิดความขัดแย้งรุนแรงระหว่างโลกมุสลิมกับสหรัฐอเมริกาและพันธมิตร
ในระหว่างสงครามเย็นนั้นชาวโลกแยกกันออกตามความแตกต่างของอุดมการณ์ทางการ เมืองและระบบเศรษฐกิจ เมื่อระบบคอมมิวนิสต์พ่ายแพ้ชาวโลกเลิกยึดอุดมการณ์ดังกล่าว และมองหาสิ่งใหม่ มาใช้เป็นกรอบอ้างอิงทางด้านอัตลักษณ์ของตน ยังผลให้ชาวโลกหันกลับไปใช้สิ่งที่พวกเขาเคยใช้มาในอดีต นั่นคือ เชื้อชาติ ศาสนา ภาษา ประเพณี เผ่าพันธุ์และแนวการดำเนินชีวิตซึ่งประกอบกันเป็นวัฒนธรรมและอารยธรรม เมื่อเป็นเช่นนั้นการเมืองระหว่างประเทศจึงดำเนินไปมิใช่เพื่อแสวงหาอำนาจ และผลประโยชน์ดังแต่ก่อนเท่านั้น หากยังเพื่อเสริมสร้างอัตลักษณ์ของกลุ่มชนและรัฐให้เด่นชัดขึ้นอีกด้วย หลังจากสงครามเย็นยุติไม่นานชาวโลกก็แยกกันออกเป็น 8 กลุ่มใหญ่ๆ ตามแนววัฒนธรรมดังนี้
----วัฒนธรรมจีน วัฒนธรรมญี่ปุ่น วัฒนธรรมฮินดู วัฒนธรรมอิสลาม วัฒนธรรมคริสต์(ตะวันออก) วัฒนธรรมตะวันตก (ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกและโปรเตสแตนต์) วัฒนธรรมละตินอเมริกา วัฒนธรรมแอฟริกา----
ในจำนวนกลุ่มต่างๆ นี้ กลุ่มตะวันตกมีพลังทางเศรษฐกิจและทางทหารสูงที่สุด อย่างไรก็ตามวิวัฒนาการในช่วงเวลา 50 ปีที่ผ่านมาทำให้พลังทางเศรษฐกิจและทางทหารของกลุ่มนี้ในเชิงเปรียบเทียบกับ กลุ่มอื่นลดลงเพราะกลุ่มใหญ่ๆ เช่น จีนและอินเดียประสบความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจสูง นอกเหนือจากนั้นกลุ่มเหล่านี้ ยังเริ่มมีพลังทางทหาร อันมีอาวุธทำลายล้างสูงไว้ในครอบครอง ในขณะเดียวกันกลุ่มที่มีศาสนาอิสลามเป็นแกนนำมีความร่ำรวยจากการขายน้ำมัน พร้อมกับการเพิ่มจำนวนของประชากรอย่างรวดเร็ว ความร่ำรวยและการเพิ่มของประชากร ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในด้านโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และทางสังคมอย่างใหญ่หลวง ยังผลให้ประชาชนส่วนหนึ่ง ซึ่งต้องการหาที่พึ่งทางจิตใจหันไปยึดศาสนาเป็นหลักแบบตกขอบ
เนื่องจากอารยธรรมต่างๆ เป็นอารยธรรมเก่าแก่โดยเฉพาะจีน อินเดีย และอิสลาม คนรุ่นหลังในอารยธรรมเหล่านี้ ซึ่งมีความเข้าใจความเป็นไปในอารยธรรมตะวันตกอย่างถ่องแท้ เริ่มมองเห็นว่าวัฒนธรรมของตนนั้น ไม่ด้อยค่ากว่าของกลุ่มตะวันตกเลย ทั้งที่กลุ่มตะวันตกมีความก้าวหน้ากว่าในหลายด้าน นอกจากนั้นพวกเขายังมองอีกว่า บางด้านของวัฒนธรรมตะวันตกเป็นสิ่งชั่วร้าย ในขณะเดียวกันบางส่วนของกลุ่มตะวันตก ยังดึงดันที่จะบอกว่า วัฒนธรรมของตนนั้นเหนือกว่าของผู้อื่น ความเห็นที่ต่างกันนี้นำไปสู่วิวัฒนาการของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทั้งในแนวของการรอมชอม และแนวของการต่อต้านวัฒนธรรมตะวันตกอย่างรุนแรง โดยเฉพาะจากบางส่วนของกลุ่มอิสลาม วิวัฒนาการเหล่านี้จะมีผลกระทบใหญ่หลวงต่อเสถียรภาพของโลกในอนาคต
New World Order
จนกระทั่งวันที่ 11 กันยายน 1990 การจัดระเบียบโลกใหม่ จึงเริ่มขึ้นจริงๆ และเปิดเผย เมื่อสหรัฐอเมริกา โดยประธานาธิบดีจอร์จ บุช (คนพ่อ)(พรรครีพับลิกัน) ได้ประกาศเนื้อหาคล้ายยุทธศาสตร์ชาติ โดยที่ในสมัยรัฐบาลของประธานาธิบดีบิล คลินตัน (พรรคเดโมแครต) นั้น รู้จักกันในนามของ "แผนยุทธศาสตร์ ใหม่ทางการเมือง และ การทหารของรสหรัฐ " (1998) ซึ่งหลังเหตุการณ์ 11 กันยายน 2001 ในสมัยประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช (คนลูก) เริ่มแสดงให้เห็นชัดว่า สหรัฐอเมริกาต้องการเป็น "รัฐบาลโลก" จากการประกาศแนวทางว่า "ใครก็ตามที่ไม่ได้ยืนอยู่เคียงข้างอเมริกา ... ผู้นั้นก็คือฝ่ายผู้ก่อการร้าย"
คำประกาศ "การจัดระเบียบโลกใหม่" ประกอบด้วยสาระสำคัญ 5 ประการ คือ
1.ความเป็นประชาธิปไตย (Democracy)
2.สิทธิมนุษยชน (Human Right)
3.สภาพแวดล้อม (Environment)
4.การค้าเสรี (Free Trade)
5.ลิขสิทธิ์และสิทธิบัตร (Copyright)
และสาระสำคัญเหล้านี้ ได้กลายเป็นเครื่องมือของสหรัฐอเมริกาและประเทศที่เป็นพันธมิตรใช้ในการแสวง หาประโยชน์จากประเทศอื่นๆ ในประชาคมโลก เช่น การบีบบังคับให้ประเทศต่างๆ อยู่ภายใต้อิทธิพลของตนในทุกๆด้าน เช่น การกีดกันการค้าประเทศที่ไม่ทำตามสาระสำคัญทั้ง 4 ประการ (ไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่รักษาสิทธิมนุษยชน ไม่ดูแลสภาพแวดล้อม และไม่เปิดการค้าเสรี)
หลายๆ ประเทศ นำเรื่องนี้มาเป็นนโยบายประเทศของตน ...
ที่มา
http://www.oknation.net/blog/Illusions/2012/02/11/entry-1
ขอขอบคุณทางเพจ สงคราม ประวัติศาสตร์ ไว้โอกาสนี้ด้วยครับ :D
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น