[ "กองพันปีศาจ" (Ghost Army) ]
ในสมรภูมิรบที่สำคัญที่สุดในสงครามโลกครั้งที่ 2 คือการรบที่นอร์มังดี (Normandy) ประเทศฝรั่งเศส วันที่ 6 มิถุนายน 1944 กองทัพฝ่ายพันธมิตรยกพลขึ้นบกแต่ถูกเยอรมันตอบโต้อย่างดุเดือด การเคลื่อนย้ายกำลังพลเป็นไปอย่างยากลำบาก ทหารเยอรมันนับแสนๆคนกระจายกันอยู่ตามเมืองสำคัญๆ อีกทั้งยังมีหน่วยสอดแนมคอยส่งข่าวให้รู้ความเคลื่อนไหวของฝ่ายพันธมิตร
การจะเข้ายึดเมืองสำคัญๆคืนจากฝ่ายเยอรมันย่อมต้องเกิดการปะทะและการสูญเสีย ทหารจำนวนมาก วิธีการเดียวที่จะหลีกเลี่ยงการสูญเสียคือการทำให้พวกเขายอมแพ้แต่โดยดี หรืออย่างน้อยก็ต้องเบี่ยงเบนความสนใจ ล่อทหารเยอรมันออกจากเมืองให้ได้ แต่การจะทำเช่นนั้นได้ต้องใช้กำลังพลและยุทธปัจจัยจำนวนมหาศาล
เมื่อไม่มีทรัพยากรมากมายขนาดนั้น สิ่งที่สหรัฐทำคือการสร้างภาพลวงตาให้ทหารเยอรมันเชื่อว่ากองทัพฝ่าย พันธมิตรจำนวนมหาศาลกำลังบุกเข้าโจมตี หน้าที่นี้จึงตกเป็นของบรรดาศิลปินและนักสร้างสรรค์งานโฆษณาประชาสัมพันธ์
เรียกได้ว่าเป็นกองทัพไร้อาวุธของกองทัพอเมริกา โดยคัดเลือกศิลปินสาขาต่างๆ จากมหาวิทยาลัย หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งจิตรกร นักแสดง นักออกแบบ ช่างทำฉาก วิศวกรด้านภาพ และเสียง ได้กำลังพลทั้งหมดราว 1,100 นาย พวกเขาถูกบรรจุให้เป็นทหารหน่วยรบพิเศษ กองบัญชาการที่ 23 (23rd Headquarters Special Troops)
ทหารหน่วยรบพิเศษถูกแบ่งหน้าที่ออกเป็น หน่วยย่อยตามความถนัดคือแผนกสร้างภาพลวงตา แผนกเสียง แผนกบทละครและแผนกสร้างบรรยากาศ ทหารเพียงหน่วยเดียวที่เป็นทหารจริงๆคือทหารช่างทำหน้าที่คุ้มกันหน่วยรบ พิเศษ แต่ละแผนกมีความสำคัญเท่าๆกันที่จะทำให้ทหารเยอรมันตกหลุมพรางและพ่ายแพ้ใน ที่สุด
[แผนกสร้างภาพลวงตา] (Visual Deception) : หน้าที่ สร้างยานพาหนะ รถจี๊บ รถถัง รถหุ้มเกราะ เครื่องบิน โดยตอนแรกพวกเขาทดลองสร้างจากผ้าใบและไม้อัด แต่มันดูไม่ค่อยเหมือนของจริงสักเท่าไรนัก หากความแตก ทหารเยอรมันจับได้ละก็เป็นโดนถล่มเละเป็นโจ๊กทั้งกองพันแน่ๆ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนไปใช้ยางซึ่งสามารถบิดงอได้ตามรูปทรงที่ต้องการ เมื่อทาสีเติมเครื่องหมายต่างๆลงไป มองไกลๆไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามันเป็นของปลอม
[แผนกเสียง] (Sonic Deception) : หน้าที่ สร้างซาวนด์เอฟเฟ็ค เสียงเครื่องยนต์ เสียงการเคลื่อนพล โดยเสียงทั้งหมดทำการบันทึกโดยวิศวกรของเบลล์แลบ (Bell Lab) บริษัทที่ชำนาญช่ำชองทางด้านการสื่อสารด้วยเสียง แต่สมัยนั้นยังไม่มีเทปบันทึกเสียง การบันทึกจึงใช้ระบบสายแม่เหล็ก (Wire Record) ซึ่งเป็นระบบการบันทึกเสียงที่ทันสมัยที่สุดในยุคสมัยนั้น เสียงต่างๆสามารถนำมาผสมผสานกันตามที่ต้องการ
[แผนกบทละคร] (Radio Deception) : ทำหน้าที่ในการเขียนบทพูด และติดต่อสื่อสาร ส่งข่าวกับทหารหน่วยอื่นๆเพื่อหลอกล่อให้ฝ่ายเยอรมันเข้าใจผิดในขณะที่ข้อ ความที่ต้องการสื่อสารกันจริงๆส่งด้วยรหัสมอร์ส (Morse Code)
[สำหรับปฏิบัติการเสี่ยงตาย] : กองพันปิศาจได้ถูกส่งออกปฏิบัติการทั้งหมด 21 ครั้ง โดยสามารถหลอกล่อทหารเยอรมันไปจากตำแหน่งที่ล่อแหลม ทำให้กองกำลังทหารฝ่ายพันธมิตรสามารถเคลื่อนกำลังพลเข้ายึดจุดยุทธศาสตร์ที่ สำคัญๆ ได้ แต่ปฏิบัติการของกองพันปิศาจนั้น ก็เหมือนเป็นการเอาตัวเองเข้าไปล่อเป็นเป้า เหตุการณ์ที่เกือบจะเอาตัวเองไม่รอดครั้งหนึ่งคือปฏิบัติการเบ็ตเตมบอร์จ (Operation Bettembourg) เมื่อวันที่ 21 กันยายน 1944 กองพันปิศาจได้รับคำสั่งให้ไปช่วยกองทหารที่พยายามจะข้ามแม่น้ำโมเซลเล ในเมืองเมตซ์ (Metz) แต่ถูกกองกำลังฝ่ายเยอรมันจำนวนมากยันเอาไว้ กองพันปิศาจมีหน้าที่สร้างภาพว่าเคลื่อนกำลังพล 20,000 นายพร้อมรถถังจำนวนมากมายังพื้นที่
รถถังยางถูกนำมาตั้งให้เห็นบนท้อง ถนน ฝ่ายสร้างบรรยากาศเปิดเครื่องบันทึกเสียงสร้างภาพลวงตาว่ามีรถถังหลายชนิด จำนวนมากกำลังเคลื่อนพลมายังจุดปะทะ นักแสดงชุดหนึ่งติดเครื่องหมายทหารยานเกราะออกเดินทางไปตามแหล่งสถานบันเทิง คุยโวว่าเป็นทหารหน่วยยานเกราะ ปฏิบัติการสร้างภาพดำเนินติดต่อกัน 3 วัน แต่ดูเหมือนฝ่ายเยอรมันจะยังคงยึดที่มั่นยันทหารฝ่ายพันธมิตรไม่ให้ข้ามแม่ น้ำโมเซลเลไปได้ กองพันปิศาจเริ่มใจคอไม่ดี หากเยอรมันจับได้ว่าไม่มีทหารยานเกราะ 20,000 นายเคลื่อนพลมายังจุดปะทะ อย่าว่าแต่ทหารพันธมิตรที่กำลังรอความช่วยเหลือ พวกกองพันปิศาจเองก็คงเน่าด้วยเหมือนกัน
แต่แล้วเมื่อถึงวันที่ 4 ทหารเยอรมันกลัวว่าหน่วยยานเกราะกำลังใกล้เข้ามาจริงๆ พวกเขาระเบิดสะพานข้ามแม่น้ำและทิ้งเมืองหนีเอาตัวรอด ท่ามกลางความโล่งใจของกองพันปิศาจที่สามารถปฏิบัติการสำริดผล ซึ่งกำลังพลกองพันปิศาจทั้งหมดนี้ได้ให้สัตย์ปฏิญาณว่า จะไม่เปิดเผยความลับให้ผู้อื่นล่วงรู้แม้ว่าฝ่าย พันธมิตรจะได้รับชัยชนะในสงครามแล้วก็ตาม เรื่องราวทั้งหมดจึงถูกปกปิดนานถึง 50 ปี จนกระทั่งเอกสารลับหมดอายุตามกฎหมาย เรื่องราวนี้จึงถูกเปิดเผยครั้งแรกในปี 1996 ที่ผ่านมานี่เอง..
- ข้อมูลจาก : http://pantip.com/topic/30880049
ขอขอบคุณทางเพจ สงคราม ประวัติศาสตร์ ไว้โอกาสนี้ด้วยครับ :Dในสมรภูมิรบที่สำคัญที่สุดในสงครามโลกครั้งที่ 2 คือการรบที่นอร์มังดี (Normandy) ประเทศฝรั่งเศส วันที่ 6 มิถุนายน 1944 กองทัพฝ่ายพันธมิตรยกพลขึ้นบกแต่ถูกเยอรมันตอบโต้อย่างดุเดือด การเคลื่อนย้ายกำลังพลเป็นไปอย่างยากลำบาก ทหารเยอรมันนับแสนๆคนกระจายกันอยู่ตามเมืองสำคัญๆ อีกทั้งยังมีหน่วยสอดแนมคอยส่งข่าวให้รู้ความเคลื่อนไหวของฝ่ายพันธมิตร
การจะเข้ายึดเมืองสำคัญๆคืนจากฝ่ายเยอรมันย่อมต้องเกิดการปะทะและการสูญเสีย ทหารจำนวนมาก วิธีการเดียวที่จะหลีกเลี่ยงการสูญเสียคือการทำให้พวกเขายอมแพ้แต่โดยดี หรืออย่างน้อยก็ต้องเบี่ยงเบนความสนใจ ล่อทหารเยอรมันออกจากเมืองให้ได้ แต่การจะทำเช่นนั้นได้ต้องใช้กำลังพลและยุทธปัจจัยจำนวนมหาศาล
เมื่อไม่มีทรัพยากรมากมายขนาดนั้น สิ่งที่สหรัฐทำคือการสร้างภาพลวงตาให้ทหารเยอรมันเชื่อว่ากองทัพฝ่าย พันธมิตรจำนวนมหาศาลกำลังบุกเข้าโจมตี หน้าที่นี้จึงตกเป็นของบรรดาศิลปินและนักสร้างสรรค์งานโฆษณาประชาสัมพันธ์
เรียกได้ว่าเป็นกองทัพไร้อาวุธของกองทัพอเมริกา โดยคัดเลือกศิลปินสาขาต่างๆ จากมหาวิทยาลัย หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งจิตรกร นักแสดง นักออกแบบ ช่างทำฉาก วิศวกรด้านภาพ และเสียง ได้กำลังพลทั้งหมดราว 1,100 นาย พวกเขาถูกบรรจุให้เป็นทหารหน่วยรบพิเศษ กองบัญชาการที่ 23 (23rd Headquarters Special Troops)
ทหารหน่วยรบพิเศษถูกแบ่งหน้าที่ออกเป็น หน่วยย่อยตามความถนัดคือแผนกสร้างภาพลวงตา แผนกเสียง แผนกบทละครและแผนกสร้างบรรยากาศ ทหารเพียงหน่วยเดียวที่เป็นทหารจริงๆคือทหารช่างทำหน้าที่คุ้มกันหน่วยรบ พิเศษ แต่ละแผนกมีความสำคัญเท่าๆกันที่จะทำให้ทหารเยอรมันตกหลุมพรางและพ่ายแพ้ใน ที่สุด
[แผนกสร้างภาพลวงตา] (Visual Deception) : หน้าที่ สร้างยานพาหนะ รถจี๊บ รถถัง รถหุ้มเกราะ เครื่องบิน โดยตอนแรกพวกเขาทดลองสร้างจากผ้าใบและไม้อัด แต่มันดูไม่ค่อยเหมือนของจริงสักเท่าไรนัก หากความแตก ทหารเยอรมันจับได้ละก็เป็นโดนถล่มเละเป็นโจ๊กทั้งกองพันแน่ๆ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนไปใช้ยางซึ่งสามารถบิดงอได้ตามรูปทรงที่ต้องการ เมื่อทาสีเติมเครื่องหมายต่างๆลงไป มองไกลๆไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามันเป็นของปลอม
[แผนกเสียง] (Sonic Deception) : หน้าที่ สร้างซาวนด์เอฟเฟ็ค เสียงเครื่องยนต์ เสียงการเคลื่อนพล โดยเสียงทั้งหมดทำการบันทึกโดยวิศวกรของเบลล์แลบ (Bell Lab) บริษัทที่ชำนาญช่ำชองทางด้านการสื่อสารด้วยเสียง แต่สมัยนั้นยังไม่มีเทปบันทึกเสียง การบันทึกจึงใช้ระบบสายแม่เหล็ก (Wire Record) ซึ่งเป็นระบบการบันทึกเสียงที่ทันสมัยที่สุดในยุคสมัยนั้น เสียงต่างๆสามารถนำมาผสมผสานกันตามที่ต้องการ
[แผนกบทละคร] (Radio Deception) : ทำหน้าที่ในการเขียนบทพูด และติดต่อสื่อสาร ส่งข่าวกับทหารหน่วยอื่นๆเพื่อหลอกล่อให้ฝ่ายเยอรมันเข้าใจผิดในขณะที่ข้อ ความที่ต้องการสื่อสารกันจริงๆส่งด้วยรหัสมอร์ส (Morse Code)
[สำหรับปฏิบัติการเสี่ยงตาย] : กองพันปิศาจได้ถูกส่งออกปฏิบัติการทั้งหมด 21 ครั้ง โดยสามารถหลอกล่อทหารเยอรมันไปจากตำแหน่งที่ล่อแหลม ทำให้กองกำลังทหารฝ่ายพันธมิตรสามารถเคลื่อนกำลังพลเข้ายึดจุดยุทธศาสตร์ที่ สำคัญๆ ได้ แต่ปฏิบัติการของกองพันปิศาจนั้น ก็เหมือนเป็นการเอาตัวเองเข้าไปล่อเป็นเป้า เหตุการณ์ที่เกือบจะเอาตัวเองไม่รอดครั้งหนึ่งคือปฏิบัติการเบ็ตเตมบอร์จ (Operation Bettembourg) เมื่อวันที่ 21 กันยายน 1944 กองพันปิศาจได้รับคำสั่งให้ไปช่วยกองทหารที่พยายามจะข้ามแม่น้ำโมเซลเล ในเมืองเมตซ์ (Metz) แต่ถูกกองกำลังฝ่ายเยอรมันจำนวนมากยันเอาไว้ กองพันปิศาจมีหน้าที่สร้างภาพว่าเคลื่อนกำลังพล 20,000 นายพร้อมรถถังจำนวนมากมายังพื้นที่
รถถังยางถูกนำมาตั้งให้เห็นบนท้อง ถนน ฝ่ายสร้างบรรยากาศเปิดเครื่องบันทึกเสียงสร้างภาพลวงตาว่ามีรถถังหลายชนิด จำนวนมากกำลังเคลื่อนพลมายังจุดปะทะ นักแสดงชุดหนึ่งติดเครื่องหมายทหารยานเกราะออกเดินทางไปตามแหล่งสถานบันเทิง คุยโวว่าเป็นทหารหน่วยยานเกราะ ปฏิบัติการสร้างภาพดำเนินติดต่อกัน 3 วัน แต่ดูเหมือนฝ่ายเยอรมันจะยังคงยึดที่มั่นยันทหารฝ่ายพันธมิตรไม่ให้ข้ามแม่ น้ำโมเซลเลไปได้ กองพันปิศาจเริ่มใจคอไม่ดี หากเยอรมันจับได้ว่าไม่มีทหารยานเกราะ 20,000 นายเคลื่อนพลมายังจุดปะทะ อย่าว่าแต่ทหารพันธมิตรที่กำลังรอความช่วยเหลือ พวกกองพันปิศาจเองก็คงเน่าด้วยเหมือนกัน
แต่แล้วเมื่อถึงวันที่ 4 ทหารเยอรมันกลัวว่าหน่วยยานเกราะกำลังใกล้เข้ามาจริงๆ พวกเขาระเบิดสะพานข้ามแม่น้ำและทิ้งเมืองหนีเอาตัวรอด ท่ามกลางความโล่งใจของกองพันปิศาจที่สามารถปฏิบัติการสำริดผล ซึ่งกำลังพลกองพันปิศาจทั้งหมดนี้ได้ให้สัตย์ปฏิญาณว่า จะไม่เปิดเผยความลับให้ผู้อื่นล่วงรู้แม้ว่าฝ่าย พันธมิตรจะได้รับชัยชนะในสงครามแล้วก็ตาม เรื่องราวทั้งหมดจึงถูกปกปิดนานถึง 50 ปี จนกระทั่งเอกสารลับหมดอายุตามกฎหมาย เรื่องราวนี้จึงถูกเปิดเผยครั้งแรกในปี 1996 ที่ผ่านมานี่เอง..
- ข้อมูลจาก : http://pantip.com/topic/30880049
![รูปภาพ : [ "กองพันปีศาจ" (Ghost Army) ]
ในสมรภูมิรบที่สำคัญที่สุดในสงครามโลกครั้งที่ 2 คือการรบที่นอร์มังดี (Normandy) ประเทศฝรั่งเศส วันที่ 6 มิถุนายน 1944 กองทัพฝ่ายพันธมิตรยกพลขึ้นบกแต่ถูกเยอรมันตอบโต้อย่างดุเดือด การเคลื่อนย้ายกำลังพลเป็นไปอย่างยากลำบาก ทหารเยอรมันนับแสนๆคนกระจายกันอยู่ตามเมืองสำคัญๆ อีกทั้งยังมีหน่วยสอดแนมคอยส่งข่าวให้รู้ความเคลื่อนไหวของฝ่ายพันธมิตร
การจะเข้ายึดเมืองสำคัญๆคืนจากฝ่ายเยอรมันย่อมต้องเกิดการปะทะและการสูญเสีย ทหารจำนวนมาก วิธีการเดียวที่จะหลีกเลี่ยงการสูญเสียคือการทำให้พวกเขายอมแพ้แต่โดยดี หรืออย่างน้อยก็ต้องเบี่ยงเบนความสนใจ ล่อทหารเยอรมันออกจากเมืองให้ได้ แต่การจะทำเช่นนั้นได้ต้องใช้กำลังพลและยุทธปัจจัยจำนวนมหาศาล
เมื่อไม่มีทรัพยากรมากมายขนาดนั้น สิ่งที่สหรัฐทำคือการสร้างภาพลวงตาให้ทหารเยอรมันเชื่อว่ากองทัพฝ่าย พันธมิตรจำนวนมหาศาลกำลังบุกเข้าโจมตี หน้าที่นี้จึงตกเป็นของบรรดาศิลปินและนักสร้างสรรค์งานโฆษณาประชาสัมพันธ์
เรียกได้ว่าเป็นกองทัพไร้อาวุธของกองทัพอเมริกา โดยคัดเลือกศิลปินสาขาต่างๆ จากมหาวิทยาลัย หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งจิตรกร นักแสดง นักออกแบบ ช่างทำฉาก วิศวกรด้านภาพ และเสียง ได้กำลังพลทั้งหมดราว 1,100 นาย พวกเขาถูกบรรจุให้เป็นทหารหน่วยรบพิเศษ กองบัญชาการที่ 23 (23rd Headquarters Special Troops)
ทหารหน่วยรบพิเศษถูกแบ่งหน้าที่ออกเป็น หน่วยย่อยตามความถนัดคือแผนกสร้างภาพลวงตา แผนกเสียง แผนกบทละครและแผนกสร้างบรรยากาศ ทหารเพียงหน่วยเดียวที่เป็นทหารจริงๆคือทหารช่างทำหน้าที่คุ้มกันหน่วยรบ พิเศษ แต่ละแผนกมีความสำคัญเท่าๆกันที่จะทำให้ทหารเยอรมันตกหลุมพรางและพ่ายแพ้ในที่สุด
[แผนกสร้างภาพลวงตา] (Visual Deception) : หน้าที่ สร้างยานพาหนะ รถจี๊บ รถถัง รถหุ้มเกราะ เครื่องบิน โดยตอนแรกพวกเขาทดลองสร้างจากผ้าใบและไม้อัด แต่มันดูไม่ค่อยเหมือนของจริงสักเท่าไรนัก หากความแตก ทหารเยอรมันจับได้ละก็เป็นโดนถล่มเละเป็นโจ๊กทั้งกองพันแน่ๆ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนไปใช้ยางซึ่งสามารถบิดงอได้ตามรูปทรงที่ต้องการ เมื่อทาสีเติมเครื่องหมายต่างๆลงไป มองไกลๆไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามันเป็นของปลอม
[แผนกเสียง] (Sonic Deception) : หน้าที่ สร้างซาวนด์เอฟเฟ็ค เสียงเครื่องยนต์ เสียงการเคลื่อนพล โดยเสียงทั้งหมดทำการบันทึกโดยวิศวกรของเบลล์แลบ (Bell Lab) บริษัทที่ชำนาญช่ำชองทางด้านการสื่อสารด้วยเสียง แต่สมัยนั้นยังไม่มีเทปบันทึกเสียง การบันทึกจึงใช้ระบบสายแม่เหล็ก (Wire Record) ซึ่งเป็นระบบการบันทึกเสียงที่ทันสมัยที่สุดในยุคสมัยนั้น เสียงต่างๆสามารถนำมาผสมผสานกันตามที่ต้องการ
[แผนกบทละคร] (Radio Deception) : ทำหน้าที่ในการเขียนบทพูด และติดต่อสื่อสาร ส่งข่าวกับทหารหน่วยอื่นๆเพื่อหลอกล่อให้ฝ่ายเยอรมันเข้าใจผิดในขณะที่ข้อความที่ต้องการสื่อสารกันจริงๆส่งด้วยรหัสมอร์ส (Morse Code)
[สำหรับปฏิบัติการเสี่ยงตาย] : กองพันปิศาจได้ถูกส่งออกปฏิบัติการทั้งหมด 21 ครั้ง โดยสามารถหลอกล่อทหารเยอรมันไปจากตำแหน่งที่ล่อแหลม ทำให้กองกำลังทหารฝ่ายพันธมิตรสามารถเคลื่อนกำลังพลเข้ายึดจุดยุทธศาสตร์ที่ สำคัญๆ ได้ แต่ปฏิบัติการของกองพันปิศาจนั้น ก็เหมือนเป็นการเอาตัวเองเข้าไปล่อเป็นเป้า เหตุการณ์ที่เกือบจะเอาตัวเองไม่รอดครั้งหนึ่งคือปฏิบัติการเบ็ตเตมบอร์จ (Operation Bettembourg) เมื่อวันที่ 21 กันยายน 1944 กองพันปิศาจได้รับคำสั่งให้ไปช่วยกองทหารที่พยายามจะข้ามแม่น้ำโมเซลเล ในเมืองเมตซ์ (Metz) แต่ถูกกองกำลังฝ่ายเยอรมันจำนวนมากยันเอาไว้ กองพันปิศาจมีหน้าที่สร้างภาพว่าเคลื่อนกำลังพล 20,000 นายพร้อมรถถังจำนวนมากมายังพื้นที่
รถถังยางถูกนำมาตั้งให้เห็นบนท้อง ถนน ฝ่ายสร้างบรรยากาศเปิดเครื่องบันทึกเสียงสร้างภาพลวงตาว่ามีรถถังหลายชนิด จำนวนมากกำลังเคลื่อนพลมายังจุดปะทะ นักแสดงชุดหนึ่งติดเครื่องหมายทหารยานเกราะออกเดินทางไปตามแหล่งสถานบันเทิง คุยโวว่าเป็นทหารหน่วยยานเกราะ ปฏิบัติการสร้างภาพดำเนินติดต่อกัน 3 วัน แต่ดูเหมือนฝ่ายเยอรมันจะยังคงยึดที่มั่นยันทหารฝ่ายพันธมิตรไม่ให้ข้ามแม่ น้ำโมเซลเลไปได้ กองพันปิศาจเริ่มใจคอไม่ดี หากเยอรมันจับได้ว่าไม่มีทหารยานเกราะ 20,000 นายเคลื่อนพลมายังจุดปะทะ อย่าว่าแต่ทหารพันธมิตรที่กำลังรอความช่วยเหลือ พวกกองพันปิศาจเองก็คงเน่าด้วยเหมือนกัน
แต่แล้วเมื่อถึงวันที่ 4 ทหารเยอรมันกลัวว่าหน่วยยานเกราะกำลังใกล้เข้ามาจริงๆ พวกเขาระเบิดสะพานข้ามแม่น้ำและทิ้งเมืองหนีเอาตัวรอด ท่ามกลางความโล่งใจของกองพันปิศาจที่สามารถปฏิบัติการสำริดผล ซึ่งกำลังพลกองพันปิศาจทั้งหมดนี้ได้ให้สัตย์ปฏิญาณว่า จะไม่เปิดเผยความลับให้ผู้อื่นล่วงรู้แม้ว่าฝ่าย พันธมิตรจะได้รับชัยชนะในสงครามแล้วก็ตาม เรื่องราวทั้งหมดจึงถูกปกปิดนานถึง 50 ปี จนกระทั่งเอกสารลับหมดอายุตามกฎหมาย เรื่องราวนี้จึงถูกเปิดเผยครั้งแรกในปี 1996 ที่ผ่านมานี่เอง..
- ข้อมูลจาก : http://pantip.com/topic/30880049](https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/p480x480/1233543_572029872862143_194211253_n.jpg)

![รูปภาพ : New world order. ระเบียบโลกใหม่.
New world order.คือการจัดระเบียบโลกใหม่ โดยมีความคิดที่ว่าเป็นภาระของผู้ที่เจริญแล้ว ต้องเข้าไปช่วยเหลือผู้ล้าหลังไร้อารยธรรมเพื่อก้าวสู่โลกใหม่ในอุดมคติ
ซึ่งมันถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างในการรุกรานแอบแฝงผลประโยชน์หลายครั้ง จนมีความคิดต่อต้านกันว่า ทำไมต้องเปลี่ยนแปลง ทำไมต้องจัดระเบียบ หรือคิดง่ายๆว่าอยู่กันมาแบบนี้ตั้งนานก็ดีแล้ว อย่ามายุ่งกับฉัน ฉันไม่อยากรวมกับใคร เพราะฉันมีวัฒนธรรมเหนือกว่าคนอื่น ฯลฯ
ทำไมต้อง..."จัดระเบียบโลกใหม่"?
.”ตราบใดที่ประเทศต่างๆ ในโลกนี้ยังถูกแยกให้เป็นอิสระจากกันและกัน…สันติภาพ และความรุ่งโรจน์ที่จะมีต่อมวลมนุษยชาติย่อมไม่อาจปรากฏเป็นจริงขึ้นได้และ กว่าที่จะมีการคิดค้นสร้างสรรค์ระบบความร่วมมือระหว่างชาติขึ้นมาได้จริงๆ…ปัญหาที่แท้จริงในขณะนี้น่าจะอยู่ที่ว่า… ทำอย่างไรที่จะทำให้มีรัฐบาลโลกเกิดขึ้น…” ฟิลลิป เคอร์
-----กลุ่มผู้สนับสนุนก็มีได้แก่ เซอร์ ฮาโรลด์ บัตเลอร์, เนลสัน ร็อคกี้เฟลเลอร์ จอร์จ บอลล์, เลสลี เกลบ์ (ประธานองค์กร CFR) -----
วันที่สำคัญในการสร้างระเบียบโลกใหม่
เพื่อกำหนดความสัมพันธ์ และ ประวัติโดยย่อของ “ระเบียบโลกใหม่” จากคำพูดของผู้ที่มีมีแนวคิดและต้องการทำให้มันเป็นจริงตลอดมาในประวัติศาสตร์ ได้อ่านแล้วคุณจะประหลาดใจที่วิธีการวางแผนที่ยิ่งใหญ่ได้ขยายและสืบต่อด้วยวิธีการที่คล้ายคลึงกันจนกระทั่งถึงต้นศตวรรษที่ 21 และเมื่อเทียบกับปี 1990 มีประธานาธิบดีจากครอบครัวบุชอยู่ในอำนาจถึงสองคนเข้ามาเกี่ยวข้อง ..
1912 -- Colonel Edward M. House ซึ่งเคยเป็นที่ปรึกษาใกล้ชิดกับประธานาธิบดี วู๊ดโดรว์ วิลสัน (Woodrow Wilson) ได้พิมพ์หนังสือเรื่อง “Phillip Dru: รัฐบาลซึ่งส่งเสริม สังคมนิยมและความฝัน โดยคาร์ล มารกซ์ (Karl Marx)"
1913 - Federal Reserve (ที่ไม่สหรัฐ หรือสำรอง) จะถูกสร้างขึ้น จากที่วางแผนในที่ประชุมลับในปี 1910 เมื่อ เจ๊คคิล ไอแลนด์ (Jekyll Island) ,จอร์เจีย, โดยกลุ่มของนายธนาคารและนักการเมือง ได้แก่ พ.อ. House ที่ได้โอนอำนาจในการสร้างเงินจากรัฐบาลอเมริกัน ให้กลุ่มเอกชนของนายธนาคาร มันน่าจะเป็นเครื่องกำเนิดของหนี้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
28 กรกฎาคม 1914 – สงครามโลกครั้งที่ 1 ถูกกระตุ้นโดยการลอบสังหารท่านดยุคฟรานซิส เฟอร์ดินานด์ แห่งออสเตรีย
27 พฤษภาคม 1916 – ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน การปราศรัยที่สันนิบาตแห่งชาติและได้เสนอในให้มีสันนิบาตเพื่อบังคับให้มีสันติภาพโลกที่จำเป็นในการป้องกันการกำเริบของสงครามที่คล้ายกัน นั่นคือรัฐบาลโลก (world government)
11 พฤศจิกายน 1918 – ปลายสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง หลังจากการลงนามสงบศึกในชั่วโมงที่ 11 ในวันที่ 11 เดือน 11
30 พฤษภาคม 1919 – ชนชั้นสูงของอังกฤษและอเมริกัน ได้ร่วมกันสร้างสถาบันระหว่างประเทศ ( Institute of International Affairs) ในอังกฤษและ ในสหรัฐอเมริกา ในที่ประชุมที่จัดโดย พ.อ. เฮ้าส์ ร่วมกับสมาชิกสมาคม Fabian ได้แก่ จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ นักเศรษฐศาสตร์ และอีกสองปีต่อมา พ.อ. เฮาส์ ได้รวบรวมเรื่องของสถาบันระหว่างประเทศ เข้าสู่สภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ “Council on Foreign Relation” (CFR)
15 ธันวาคม 1922 - รัฐบาล CFR เสนอการจัดตั้ง “รัฐบาลโลก”(World Government) ฟิลิป เคอร์ (Philip Kerr)
"แน่นอน” ฟิลิป เคอร์ เขียน “มันจะไม่มีความสงบสุข หรือไม่มีความเจริญรุ่งเรือง ให้แก่มวลมนุษยชาติตราบ [ที่แผ่นดิน] ยังคงแบ่งออกเป็น 50 หรือ 60 รัฐอิสระ จนกว่าระบบระหว่างประเทศบางอย่างจะถูกสร้างขึ้น ... ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในวันนี้คือ [หน้าที่]ของรัฐบาลโลก "
1928 – “ สมคบคิดอย่างเปิดเผย: พิมพ์เขียวของการปฏิวัติโลก” (The Open Conspiracy: Blue Prints for a World Revolution) โดย เฮช. จี. เวลส์ (H.G. Wells) ได้พิมพ์และเผยแพร่ อดีตสังคมนิยม สมาชิกของสมาคมเฟเบียน
เวลส์เขียน "การเมืองของโลกที่ 'สมคบคิดอย่างเปิดเผย' ( การเป็นพันธมิตร) จะต้องอ่อนแอลง ถูกลบล้าง รวม และแทนที่รัฐบาลที่มีอยู่ ... ‘พันธมิตร อย่างเปิดเผย’ เป็นผู้รับมรดกโดยธรรมชาติของสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์ มันอาจจะควบคุมมอสโก ก่อนที่มันจะควบคุมนิว ยอร์ค ... ลักษณะของพันธมิตรเปิด จะถูกแสดงขึ้นมาชัดเจน... และมันจะเป็นศาสนาของโลก"
และแนวคิดนี้ได้ขยายตัวออกไปจากกลุ่มนักธุรกิจและชนชั้นขุนนางที่ต้องการผลประโยชน์ เช่น เกิดการรวมตัวขององค์กรความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ธนาคารโลก ”World Bank” (1944) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ และองค์การสหประชาชาติ “IMF” (1945) หลังจากนั้นก็เกิดตลาดร่วมยุโรป --ที่ในปัจจุบันพัฒนามาเป็น EU (สหภาพยุโรป) และในที่สุดเกิด องค์กรการค้าโลก “World Trade Organization” หรือ “WTO” (1995)
ในปี 1993 สองปีหลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลาย ซามวล ฮันติงตั้น (Samuel Huntington) ได้เขียนบทความเรื่อง “การประทะกันระหว่างอารยธรรมและการจัดระเบียบโลกใหม่” (The Clash of Civilization and the remaking of the New World Order) และตีพิมพ์เป็นหนังสือในปี 1996 แนวคิดของเขาที่ว่าหลังสงครามเย็นแล้ว สิ่งที่คงเหลืออยู่ของความขัดแย้งระหว่างอารยธรรมสำคัญ ๆของโลกโดยเฉพาะอารยธรรมตะวันตก (คริสต์เตียน) กับมุสลิม –ซึ่งตะวันตกมองว่าไม่เป็นประชาธิปไตย—
(หมายเหต: จาก จขบ. ซามวล ฮันติงตั้น เป็นนักคิดและนักวิชาการฝ่ายขวา หนังสือของเขาได้ชื่อว่าเขียนขึ้นมาเพื่อจะสานต่ออุดมการณ์นี้โดยเฉพาะ และถูก เอ๊ดเวิร์ด ซาอิ๊ด นักวิชาการฝ่ายซ้าย ผู้เชี่ยวชาญด้านตะวันออกกลาววิจารณ์ว่าจะเป็นชะนวนความขัดแย้งครั้งใหม่ระหว่างตะวันตกกับโลกอาหรับ--คำวิจารณ์นั้นก่อนที่จะเกิดสงครามอิรัคและอัฟริกานิสถาน และแน่นอน ก่อนเหตการณ์อาหรับสปริง)
เนื้อหาของหนังสือมีจุดมุ่งหมายเพื่ออธิบายข้อเสนอที่ว่า โลกแห่งอนาคตจะถูกกำหนดด้วยวัฒนธรรม และอารยธรรม เนื่องจากอัตลักษณ์ทางอารยธรรมเป็นปัจจัยทั้งในการเชื่อมความผูกพันและในการก่อความแปลกแยกระหว่างสังคมมนุษย์ เขาแยกเนื้อหาออกเป็น 5 ตอนเริ่มด้วย
(1) การทบทวนวิวัฒนาการด้านอารยธรรม ที่นำไปสู่ (2) การเปลี่ยนสมดุลระหว่างอารยธรรม ทำให้เกิด (3) การจัดระเบียบ และ (4) การปะทะกันของอารยธรรม นำไปสู่ (5) อนาคตของโลก
และความล่มสลายจากการพ่ายแพ้สงครามเย็น ของฝ่ายคอมมิวนิสต์ทำให้สหรัฐอเมริกา ก้าวขึ้นเป็นอภิมหาอำนาจแต่เพียงผู้เดียว และเป็นปัจจัยทำให้สถานการณ์โลกวิวัฒน์ไปในอีกแนวหนึ่ง นั่นคือเกิดความขัดแย้งรุนแรงระหว่างโลกมุสลิมกับสหรัฐอเมริกาและพันธมิตร
ในระหว่างสงครามเย็นนั้นชาวโลกแยกกันออกตามความแตกต่างของอุดมการณ์ทางการเมืองและระบบเศรษฐกิจ เมื่อระบบคอมมิวนิสต์พ่ายแพ้ชาวโลกเลิกยึดอุดมการณ์ดังกล่าว และมองหาสิ่งใหม่ มาใช้เป็นกรอบอ้างอิงทางด้านอัตลักษณ์ของตน ยังผลให้ชาวโลกหันกลับไปใช้สิ่งที่พวกเขาเคยใช้มาในอดีต นั่นคือ เชื้อชาติ ศาสนา ภาษา ประเพณี เผ่าพันธุ์และแนวการดำเนินชีวิตซึ่งประกอบกันเป็นวัฒนธรรมและอารยธรรม เมื่อเป็นเช่นนั้นการเมืองระหว่างประเทศจึงดำเนินไปมิใช่เพื่อแสวงหาอำนาจและผลประโยชน์ดังแต่ก่อนเท่านั้น หากยังเพื่อเสริมสร้างอัตลักษณ์ของกลุ่มชนและรัฐให้เด่นชัดขึ้นอีกด้วย หลังจากสงครามเย็นยุติไม่นานชาวโลกก็แยกกันออกเป็น 8 กลุ่มใหญ่ๆ ตามแนววัฒนธรรมดังนี้
----วัฒนธรรมจีน วัฒนธรรมญี่ปุ่น วัฒนธรรมฮินดู วัฒนธรรมอิสลาม วัฒนธรรมคริสต์(ตะวันออก) วัฒนธรรมตะวันตก (ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกและโปรเตสแตนต์) วัฒนธรรมละตินอเมริกา วัฒนธรรมแอฟริกา----
ในจำนวนกลุ่มต่างๆ นี้ กลุ่มตะวันตกมีพลังทางเศรษฐกิจและทางทหารสูงที่สุด อย่างไรก็ตามวิวัฒนาการในช่วงเวลา 50 ปีที่ผ่านมาทำให้พลังทางเศรษฐกิจและทางทหารของกลุ่มนี้ในเชิงเปรียบเทียบกับกลุ่มอื่นลดลงเพราะกลุ่มใหญ่ๆ เช่น จีนและอินเดียประสบความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจสูง นอกเหนือจากนั้นกลุ่มเหล่านี้ ยังเริ่มมีพลังทางทหาร อันมีอาวุธทำลายล้างสูงไว้ในครอบครอง ในขณะเดียวกันกลุ่มที่มีศาสนาอิสลามเป็นแกนนำมีความร่ำรวยจากการขายน้ำมัน พร้อมกับการเพิ่มจำนวนของประชากรอย่างรวดเร็ว ความร่ำรวยและการเพิ่มของประชากร ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในด้านโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และทางสังคมอย่างใหญ่หลวง ยังผลให้ประชาชนส่วนหนึ่ง ซึ่งต้องการหาที่พึ่งทางจิตใจหันไปยึดศาสนาเป็นหลักแบบตกขอบ
เนื่องจากอารยธรรมต่างๆ เป็นอารยธรรมเก่าแก่โดยเฉพาะจีน อินเดีย และอิสลาม คนรุ่นหลังในอารยธรรมเหล่านี้ ซึ่งมีความเข้าใจความเป็นไปในอารยธรรมตะวันตกอย่างถ่องแท้ เริ่มมองเห็นว่าวัฒนธรรมของตนนั้น ไม่ด้อยค่ากว่าของกลุ่มตะวันตกเลย ทั้งที่กลุ่มตะวันตกมีความก้าวหน้ากว่าในหลายด้าน นอกจากนั้นพวกเขายังมองอีกว่า บางด้านของวัฒนธรรมตะวันตกเป็นสิ่งชั่วร้าย ในขณะเดียวกันบางส่วนของกลุ่มตะวันตก ยังดึงดันที่จะบอกว่า วัฒนธรรมของตนนั้นเหนือกว่าของผู้อื่น ความเห็นที่ต่างกันนี้นำไปสู่วิวัฒนาการของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทั้งในแนวของการรอมชอม และแนวของการต่อต้านวัฒนธรรมตะวันตกอย่างรุนแรง โดยเฉพาะจากบางส่วนของกลุ่มอิสลาม วิวัฒนาการเหล่านี้จะมีผลกระทบใหญ่หลวงต่อเสถียรภาพของโลกในอนาคต
New World Order
จนกระทั่งวันที่ 11 กันยายน 1990 การจัดระเบียบโลกใหม่ จึงเริ่มขึ้นจริงๆ และเปิดเผย เมื่อสหรัฐอเมริกา โดยประธานาธิบดีจอร์จ บุช (คนพ่อ)(พรรครีพับลิกัน) ได้ประกาศเนื้อหาคล้ายยุทธศาสตร์ชาติ โดยที่ในสมัยรัฐบาลของประธานาธิบดีบิล คลินตัน (พรรคเดโมแครต) นั้น รู้จักกันในนามของ "แผนยุทธศาสตร์ ใหม่ทางการเมือง และ การทหารของรสหรัฐ " (1998) ซึ่งหลังเหตุการณ์ 11 กันยายน 2001 ในสมัยประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช (คนลูก) เริ่มแสดงให้เห็นชัดว่า สหรัฐอเมริกาต้องการเป็น "รัฐบาลโลก" จากการประกาศแนวทางว่า "ใครก็ตามที่ไม่ได้ยืนอยู่เคียงข้างอเมริกา ... ผู้นั้นก็คือฝ่ายผู้ก่อการร้าย"
คำประกาศ "การจัดระเบียบโลกใหม่" ประกอบด้วยสาระสำคัญ 5 ประการ คือ
1.ความเป็นประชาธิปไตย (Democracy)
2.สิทธิมนุษยชน (Human Right)
3.สภาพแวดล้อม (Environment)
4.การค้าเสรี (Free Trade)
5.ลิขสิทธิ์และสิทธิบัตร (Copyright)
และสาระสำคัญเหล้านี้ ได้กลายเป็นเครื่องมือของสหรัฐอเมริกาและประเทศที่เป็นพันธมิตรใช้ในการแสวงหาประโยชน์จากประเทศอื่นๆ ในประชาคมโลก เช่น การบีบบังคับให้ประเทศต่างๆ อยู่ภายใต้อิทธิพลของตนในทุกๆด้าน เช่น การกีดกันการค้าประเทศที่ไม่ทำตามสาระสำคัญทั้ง 4 ประการ (ไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่รักษาสิทธิมนุษยชน ไม่ดูแลสภาพแวดล้อม และไม่เปิดการค้าเสรี)
หลายๆ ประเทศ นำเรื่องนี้มาเป็นนโยบายประเทศของตน ...
ที่มา
http://www.oknation.net/blog/Illusions/2012/02/11/entry-1
#สงครามประวัติศาสตร์](https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/p480x480/1377442_575848489146948_1842160109_n.jpg)



